ในภาวะดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น เงินเฟ้อสูง และเศรษฐกิจไม่ดีควรลงทุนอย่างไร
ผมอยากจะเล่าแนวคิดว่าผมจะมีวิธีรับมือกับขาขึ้นของดอกเบี้ย เงินเฟ้อสูง และเศรษฐกิจมีโอกาสถดถอย เผื่อใครจะนำไปใช้
ผมลงทุนในต่างประเทศมา 3 ปีเศษ และในนับตั้งแต่ต้นปี2565 พอร์ตผมขาดทุน 5-7% เมื่อคำนวณโดยนำเงิน dollar เฉพาะในส่วนที่ขาดทุนมาแปลงเป็นเงินไทย แต่ถ้านำมูลค่าการลงทุนทั้งหมดมาแปลงเป็นเงินไทยผมจะมีกำไรเนื่องจากการแข็งค่าของเงิน us dollar แต่ถ้านับตั้งแต่ลงทุนในตปท.มา3ปี ก็ถือว่ามีกำไรพอควรครับ และยังหวังว่าปีนี้จะกลับมามีกำไรได้
ผมถือครองสินทรัพย์ที่อยู่ในสกุลเงิน us dollar หรือเทียบเท่าซึ่งมีสัดส่วน 60% (เป็นหุ้นต่างประเทศ ) และถือครองเงินสด(ในรูปเงินบาท)อยู่ราวๆ 30% และถือหุ้นไทยอยู่ซัก 10% (ในรูปเงินบาท)
ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น สิ่งที่จะทำคือรอให้ดอกเบี้ยไทยขยับขึ้นไปซึ่งจะมีผลทำให้ราคาหุ้นได้ผลเชิงลบ แต่นี่ก็ยังไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ผมจะเข้าซื้อ ผมจะรอปัจจัยผลประกอบการที่ชลอตัวเข้ามาผสม แล้วผมจะตัดสินใจซื้อหุ้นซึ่งผมเองก็จะเข้าซื้อราวๆปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า (รอให้ผลประกอบการแย่ๆเริ่มออกมา) รวมถึงผมอาจจะเข้าซื้อตราสารหนี้หรือพันธบัตรรัฐบาลแทนการถือครองเงินสดด้วย
เงินเฟ้อสูง ครั้งนี้อาจจะเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อที่รุนแรงและบริษัทผู้ผลิตน้ำมันหรือก๊าซกลับไม่ได้มีแผนการเพิ่มกำลังการผลิตในจำนวนมาก รวมถึงบริการหรือสินค้าอื่นที่มีราคาแพงเช่นการขนส่งทางเรือก็ยังไม่เห็นสัญญาณที่ดี ผมคิดว่าเรื่องนี้มีปัจจัยหลักคือ การขาดทุนอย่างยาวนานของกิจการขนส่งทางเรือ(ในระดับเกือบ 10 ปีติดต่อกัน) ส่วนเรื่องน้ำมันและก๊าซ(รวมถ่านหินด้วย)เป็นเรื่องที่มองว่าต้นทุนการผลิตพลังงานต่อหน่วยนั้นจะสู้กับ wind/solar energy ไม่ได้ในอนาคตอันใกล้ (แต่ gas เองนั้นไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงกับพลังงาน wind/solar และgas ยังคงมีอนาคต) ณ วันนี้ราคาไฟฟ้าต่อหน่วยที่ผลิตจากถ่านหินน่าจะแพงกว่า solar/wind ไปมากกว่า 5 เท่าแล้วมันบ่งบอกว่าอนาคตของโรงไฟฟ้าถ่านหินน่าจะไม่รุ่งเรืองอีกต่อไป แต่การที่ถ่านหินยังคงมีราคาที่แพงเพราะว่าในช่วง peak hour ต้องใช้พลังงานที่สามารถควบคุมได้อย่างถ่านหิน เพราะ wind/solar เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่เรื่องนี้จะจบลงได้หากพลังงาน hydrogen นั้นมีบทบาทมากขึ้นซึ่งผมเองก็เอาใจช่วยในธุรกิจนี้เพราะมันคือความหวังของโลกเราเลยครับ ผมเห็นว่าเงินเฟ้อจะทำลายเศรษฐกิจจากกำลังซื้อที่หดตัวรวมถึงดอกเบี้ยที่แพงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหลายๆธุรกิจนั้นมีความสามารถในการปกป้องเงินเฟ้อได้อย่างดี ผมยกตัวอย่างเช่นค่ารักษาพยาบาลและค่าการศึกษา จากประวัติศาสตร์ราคาของค่าบริการการรักษาและอันศึกษามีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในเมื่อเทียบกับสินค้าให้บริการอื่นๆในรอบ100 ปี เพราะกิจการเหล่านี้สามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคได้ตลอดเวลา ผมยังเห็นว่าเงินเฟ้อจะทำให้มีการกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจภายหลังที่เงินเฟ้อเริ่มผ่อนคลายลง ผมจะลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่มากที่สุดต่อไป(เกือบ 100% ของเงินลงทุนทั้งหมด ที่เหลือกำลังมองเรื่องของ property fund หรือ REIT ) การลงทุนในกิจการที่เหมาะสมป้องกันเงินเฟ้อได้อย่างดี
กลยุทธการลงทุนในหัวตอนนี้
หลักๆที่ผมจะทำตอนนี้ก็คือรอ ผมหวังจะเข้าซื้อหุ้นใน us และในไทย แต่ผมจะยังไม่ขายหุ้นใน HK ออกไป ราคาหุ้นที่ผมได้เหมาะสมที่จะลงทุนในระยะยาวกว่านี้
หลังจากที่ผมได้เริ่มลงทุนในต่างประเทศคือฮองกงมา3ปีก็ถือได้ว่าประสบผลสำเร็จเพราะส่วนใหญ่แล้วจะขาดทุนกัน ถึงตอนนี้ผมได้เริ่มลงทุนใน us และ ยุโรป ยังซื้อไม่ถึง3% ของพอร์ต สิ่งที่ผมจะซื้อเพิ่มได้แก่
- กองทุน s&p500 ผมเห็นว่าตอนนี้ดัชนีอยู่ในระดับพอลงทุนได้ ผมอยากลงทุนที่ 3,300 จุด มองว่าจะลงใน us รวม 5-10%
- หุ้นรายตัวใน us ผมยังคงรอซื้อหุ้นที่มีผลประกอบการดี ผมจะไม่เลือกซื้อหุ้นที่ขาดทุนพวก start-up (แต่ก็มี 1 ตัวในพอร์ตที่ธุรกิจยังขาดทุนคือ roblox ซื้อไว้น้อยมากๆและยังไม่เพิ่ม) ตอนนี้ผมยังนึกไม่ออกว่าจะเอาหุ้นไหนมาใส่ในพอร์ต us แต่ก็คัดๆเอาไว้แล้ว
- กองทุนเวียดนาม ผมได้เริ่มไปแล้วโดยซื้อในไทยคือ E1VFVN3001 และ VOF (ตัวนี้ผมซื้อในตลาด london ตัวนี้มีส่วนลดราวๆ 20% จาก NAV) และตอนนี้มีกำไรแล้วนิดหน่อย ผมแนะนำเลยครับสำหรับใครที่สนใจเวียดนาม (อีกกองในไทยก็คือ FUEVFVND01 แต่ตัวนี้ผมไม่ได้ซื้อ) โดยส่วนตัวผมชอบ VOF เพราะมีปันผล+ส่วนลด20% และหวังว่าจะลงทุนในระดับราวๆ 10 ปี เป็นการซื้อกองทุนครั้งแรกในชีวิต ปกติผมจะลงทุนด้วยตัวเอง ผมอยากลงในกองเวียดนาม 4-5% ของพอร์ต
- หุ้น prosus เป็นหุ้นที่ผมซื้อในยุโรปตัวนี้มีส่วนลดจาก NAV ราวๆ 50% มีปันผลไม่มากนัก และมูลค่าหลักของ prosus ก็คือหุ้น tencent ผมคิดว่าคงจะไม่ลงเงินมากสำหรับตัวนี้อาจจะ 1-2% ของพอร์ตเท่านั้น
- หุ้น fin-tech ถ้าพูดถึง fin-tech ส่วนใหญ่แล้วคงคิดว่าใครซื้อในปีนี้จะขาดทุนหนัก(มากกว่า 50%) สำหรับผมไม่ถึงกับหนักมาก ผมคาดว่าผมจะมีกำไรที่ดีในอีก 3 ปีข้างหน้า ผมซื้อหุ้น fin-tech จากตลาด us มา 3 ตัวทำธุรกิจในจีนและเอเซีย(และผมก็มีกำไรจากราคาหุ้นแล้วด้วย) ทั้ง 3 ตัวปันผลใช้่ได้เลยได้แก่ lufax qfin finv ส่วน fin-tech จีนผมยังขาดทุนอยู่คือ vcredit ตัวนี้ปันผล 10% ในปีนี้ ธุรกิจ fin-tech พวกนี้ก็จะเป็น B2C ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นมาหน่อย แต่ผมว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำน่าลงทุนมาก
- หุ้น finance ผมเองชอบหุ้นการเงิน(แต่ก็ไม่ลงทุนในหุ้นธนาคาร) และผมก็ลงทุนในหุ้นเหล่านี้เป็นจำนวนมากในHK ผมยังมีกำไรและหุ้นเหล่านี้ที่ผมเลือกผมจะเลือกพวกที่เป็น B2B ทั้งหมด จากการดูงบการเงินพบว่ามีระดับ NPL ที่ต่ำมากแต่ก็มี Spread ของดอกเบี้ยที่แคบ ซึ่งเราสามารถดูเรื่องความสามารถในการทำกำไรของกิจการเหล่านี้ได้จาก ROA (เราจะไม่พิจารณา ROE ) ซึ่งหุ้น 3877 มี ROA ดีที่สุด ผมถือ 3877, 1066, 3360 และ 2666 ซึ่ง 2 ตัวหลังผมซื้อไม่มาก
- หุ้นสนามบิน 357 หรือ Haikou Meilan Airport เป็นหุ้นสนามบินที่ผมเข้าซื้อเพราะเห็นว่าจะมีการเติบโตในอนาคตจากการส่งเสริมของจีน และตัวนี้ไม่ขาดทุนเลยแม้จะอยู่ในยุค covid
- ส่วนหุ้นด้านสิ่งแวดล้อม ผมเห็นว่าเป็นธุรกิจที่ดีมากผมยังถือมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 2-3 บางตัวเงินปันผลเข้าใกล้ 10% ตามที่คาดหวังแล้ว ผมยังคงถือหุ้นกลุ่มนี้ต่อไปอีกหลายปี
- หุ้นกลุ่ม defensiveอื่นๆผมว่าน่าลงทุน เช่น ประกันภัย ประกันชีวิต การสื่อสาร ผู้กระจายสินค้าด้านยาและอุปกรณ์การแพทย์ โรงไฟฟ้า(พลังงานหมุนเวียน) gas operatorและservice provider เป็นต้น มีความเสี่ยงต่ำและมีผลตอบแทนที่ดีเลยทีเดียว
โดยหลักๆแล้วผมว่าเราลงทุนด้วยการรอจังหวะที่ดีๆ ดีกว่าการซื้อแบบทยอยหรือการซื้อเพราะกิจการโตไว(มากๆ) ผมเองไม่ซื้อแบบ DCA เพราะเป็นวิธีที่ทำผลตอบแทนได้ไม่ดีในระยะยาว และตอนนี้ก็คือต้องถือเงินสดต่อไปแล้วค่อย all-in กับสินทรัพย์ โดยผมอาจจะถือเงินสดที่เป็นสภาพคล่องไว้ใช้ 2 ปี จากที่ตอนี้ใช้ได้ระดับ 10 ปี โดยสภาพคล่องเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นตราสารหนี้และพันธบัตร ผมยังมองว่า cash คือพระเอกที่จะทำให้พอร์ตผมโตได้อีกในอีก 3 ปีข้างหน้าหากผมคาดการณ์ได้ใกล้เคียงว่าในช่วงนับแต่ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าคือช่วงที่เรามีโอกาสซื้อหุ้นในราคาที่ดี
ในช่วงที่ผ่านมาผมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ(เป็นพวก office syndrome) ทำให้ผมไม่ได้ทำการศึกษาการลงทุนแบบเข้มข้น และทำให้ผมไม่สามารถแนะนำอะไรใครได้และคิดว่าจะพักฟื้นตัวอีกจนถึงต้นปีหน้าเลยครับ แต่ก็จะพยายามหาความรู้ให้มากกว่านี้ ปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่ผมจะทำงานในฐานะวิศวกร แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะไปทำอะไรต่อ
หวังว่าเพื่อนนักลงทุนที่ได้ลงทุนมาเพราะผมจะไม่ท้อเพราะสภาวะตลาดขาลง ผมเชื่อเสมอว่าตลาดหุ้นในภาวะวิกฤติคือโอกาสเสมอ โชคดีครับ