Wednesday, June 15, 2022

ในภาวะดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น เงินเฟ้อสูง และเศรษฐกิจไม่ดีควรลงทุนอย่างไร

ในภาวะดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น เงินเฟ้อสูง และเศรษฐกิจไม่ดีควรลงทุนอย่างไร

ผมอยากจะเล่าแนวคิดว่าผมจะมีวิธีรับมือกับขาขึ้นของดอกเบี้ย เงินเฟ้อสูง และเศรษฐกิจมีโอกาสถดถอย เผื่อใครจะนำไปใช้

ผมลงทุนในต่างประเทศมา 3 ปีเศษ และในนับตั้งแต่ต้นปี2565 พอร์ตผมขาดทุน 5-7% เมื่อคำนวณโดยนำเงิน dollar เฉพาะในส่วนที่ขาดทุนมาแปลงเป็นเงินไทย แต่ถ้านำมูลค่าการลงทุนทั้งหมดมาแปลงเป็นเงินไทยผมจะมีกำไรเนื่องจากการแข็งค่าของเงิน us dollar แต่ถ้านับตั้งแต่ลงทุนในตปท.มา3ปี ก็ถือว่ามีกำไรพอควรครับ และยังหวังว่าปีนี้จะกลับมามีกำไรได้

ผมถือครองสินทรัพย์ที่อยู่ในสกุลเงิน us dollar หรือเทียบเท่าซึ่งมีสัดส่วน 60% (เป็นหุ้นต่างประเทศ ) และถือครองเงินสด(ในรูปเงินบาท)อยู่ราวๆ 30% และถือหุ้นไทยอยู่ซัก 10% (ในรูปเงินบาท)

ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น สิ่งที่จะทำคือรอให้ดอกเบี้ยไทยขยับขึ้นไปซึ่งจะมีผลทำให้ราคาหุ้นได้ผลเชิงลบ แต่นี่ก็ยังไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ผมจะเข้าซื้อ ผมจะรอปัจจัยผลประกอบการที่ชลอตัวเข้ามาผสม แล้วผมจะตัดสินใจซื้อหุ้นซึ่งผมเองก็จะเข้าซื้อราวๆปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า (รอให้ผลประกอบการแย่ๆเริ่มออกมา) รวมถึงผมอาจจะเข้าซื้อตราสารหนี้หรือพันธบัตรรัฐบาลแทนการถือครองเงินสดด้วย

เงินเฟ้อสูง ครั้งนี้อาจจะเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อที่รุนแรงและบริษัทผู้ผลิตน้ำมันหรือก๊าซกลับไม่ได้มีแผนการเพิ่มกำลังการผลิตในจำนวนมาก รวมถึงบริการหรือสินค้าอื่นที่มีราคาแพงเช่นการขนส่งทางเรือก็ยังไม่เห็นสัญญาณที่ดี ผมคิดว่าเรื่องนี้มีปัจจัยหลักคือ การขาดทุนอย่างยาวนานของกิจการขนส่งทางเรือ(ในระดับเกือบ 10 ปีติดต่อกัน) ส่วนเรื่องน้ำมันและก๊าซ(รวมถ่านหินด้วย)เป็นเรื่องที่มองว่าต้นทุนการผลิตพลังงานต่อหน่วยนั้นจะสู้กับ wind/solar energy ไม่ได้ในอนาคตอันใกล้ (แต่ gas เองนั้นไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงกับพลังงาน wind/solar และgas ยังคงมีอนาคต) ณ วันนี้ราคาไฟฟ้าต่อหน่วยที่ผลิตจากถ่านหินน่าจะแพงกว่า solar/wind ไปมากกว่า 5 เท่าแล้วมันบ่งบอกว่าอนาคตของโรงไฟฟ้าถ่านหินน่าจะไม่รุ่งเรืองอีกต่อไป แต่การที่ถ่านหินยังคงมีราคาที่แพงเพราะว่าในช่วง peak hour ต้องใช้พลังงานที่สามารถควบคุมได้อย่างถ่านหิน เพราะ wind/solar เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่เรื่องนี้จะจบลงได้หากพลังงาน hydrogen นั้นมีบทบาทมากขึ้นซึ่งผมเองก็เอาใจช่วยในธุรกิจนี้เพราะมันคือความหวังของโลกเราเลยครับ ผมเห็นว่าเงินเฟ้อจะทำลายเศรษฐกิจจากกำลังซื้อที่หดตัวรวมถึงดอกเบี้ยที่แพงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหลายๆธุรกิจนั้นมีความสามารถในการปกป้องเงินเฟ้อได้อย่างดี ผมยกตัวอย่างเช่นค่ารักษาพยาบาลและค่าการศึกษา จากประวัติศาสตร์ราคาของค่าบริการการรักษาและอันศึกษามีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในเมื่อเทียบกับสินค้าให้บริการอื่นๆในรอบ100 ปี เพราะกิจการเหล่านี้สามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคได้ตลอดเวลา ผมยังเห็นว่าเงินเฟ้อจะทำให้มีการกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจภายหลังที่เงินเฟ้อเริ่มผ่อนคลายลง ผมจะลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่มากที่สุดต่อไป(เกือบ 100% ของเงินลงทุนทั้งหมด ที่เหลือกำลังมองเรื่องของ property fund หรือ REIT ) การลงทุนในกิจการที่เหมาะสมป้องกันเงินเฟ้อได้อย่างดี

กลยุทธการลงทุนในหัวตอนนี้

หลักๆที่ผมจะทำตอนนี้ก็คือรอ ผมหวังจะเข้าซื้อหุ้นใน us และในไทย แต่ผมจะยังไม่ขายหุ้นใน HK ออกไป ราคาหุ้นที่ผมได้เหมาะสมที่จะลงทุนในระยะยาวกว่านี้ 

หลังจากที่ผมได้เริ่มลงทุนในต่างประเทศคือฮองกงมา3ปีก็ถือได้ว่าประสบผลสำเร็จเพราะส่วนใหญ่แล้วจะขาดทุนกัน ถึงตอนนี้ผมได้เริ่มลงทุนใน us และ ยุโรป ยังซื้อไม่ถึง3% ของพอร์ต สิ่งที่ผมจะซื้อเพิ่มได้แก่ 

- กองทุน s&p500 ผมเห็นว่าตอนนี้ดัชนีอยู่ในระดับพอลงทุนได้ ผมอยากลงทุนที่ 3,300 จุด มองว่าจะลงใน us รวม 5-10%

- หุ้นรายตัวใน us ผมยังคงรอซื้อหุ้นที่มีผลประกอบการดี ผมจะไม่เลือกซื้อหุ้นที่ขาดทุนพวก start-up (แต่ก็มี 1 ตัวในพอร์ตที่ธุรกิจยังขาดทุนคือ roblox ซื้อไว้น้อยมากๆและยังไม่เพิ่ม) ตอนนี้ผมยังนึกไม่ออกว่าจะเอาหุ้นไหนมาใส่ในพอร์ต us แต่ก็คัดๆเอาไว้แล้ว

- กองทุนเวียดนาม ผมได้เริ่มไปแล้วโดยซื้อในไทยคือ E1VFVN3001 และ VOF (ตัวนี้ผมซื้อในตลาด london ตัวนี้มีส่วนลดราวๆ 20% จาก NAV) และตอนนี้มีกำไรแล้วนิดหน่อย ผมแนะนำเลยครับสำหรับใครที่สนใจเวียดนาม (อีกกองในไทยก็คือ FUEVFVND01 แต่ตัวนี้ผมไม่ได้ซื้อ) โดยส่วนตัวผมชอบ VOF เพราะมีปันผล+ส่วนลด20% และหวังว่าจะลงทุนในระดับราวๆ 10 ปี เป็นการซื้อกองทุนครั้งแรกในชีวิต ปกติผมจะลงทุนด้วยตัวเอง ผมอยากลงในกองเวียดนาม 4-5% ของพอร์ต

- หุ้น prosus เป็นหุ้นที่ผมซื้อในยุโรปตัวนี้มีส่วนลดจาก NAV ราวๆ 50% มีปันผลไม่มากนัก และมูลค่าหลักของ prosus ก็คือหุ้น tencent ผมคิดว่าคงจะไม่ลงเงินมากสำหรับตัวนี้อาจจะ 1-2% ของพอร์ตเท่านั้น

- หุ้น fin-tech ถ้าพูดถึง fin-tech ส่วนใหญ่แล้วคงคิดว่าใครซื้อในปีนี้จะขาดทุนหนัก(มากกว่า 50%) สำหรับผมไม่ถึงกับหนักมาก ผมคาดว่าผมจะมีกำไรที่ดีในอีก 3 ปีข้างหน้า ผมซื้อหุ้น fin-tech จากตลาด us มา 3 ตัวทำธุรกิจในจีนและเอเซีย(และผมก็มีกำไรจากราคาหุ้นแล้วด้วย) ทั้ง 3 ตัวปันผลใช้่ได้เลยได้แก่ lufax qfin finv ส่วน fin-tech จีนผมยังขาดทุนอยู่คือ vcredit ตัวนี้ปันผล 10% ในปีนี้ ธุรกิจ fin-tech พวกนี้ก็จะเป็น B2C ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นมาหน่อย แต่ผมว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำน่าลงทุนมาก 

- หุ้น finance ผมเองชอบหุ้นการเงิน(แต่ก็ไม่ลงทุนในหุ้นธนาคาร) และผมก็ลงทุนในหุ้นเหล่านี้เป็นจำนวนมากในHK ผมยังมีกำไรและหุ้นเหล่านี้ที่ผมเลือกผมจะเลือกพวกที่เป็น B2B ทั้งหมด จากการดูงบการเงินพบว่ามีระดับ NPL ที่ต่ำมากแต่ก็มี Spread ของดอกเบี้ยที่แคบ ซึ่งเราสามารถดูเรื่องความสามารถในการทำกำไรของกิจการเหล่านี้ได้จาก ROA (เราจะไม่พิจารณา ROE ) ซึ่งหุ้น 3877 มี ROA ดีที่สุด ผมถือ 3877, 1066, 3360 และ 2666 ซึ่ง 2 ตัวหลังผมซื้อไม่มาก

- หุ้นสนามบิน 357 หรือ Haikou Meilan Airport เป็นหุ้นสนามบินที่ผมเข้าซื้อเพราะเห็นว่าจะมีการเติบโตในอนาคตจากการส่งเสริมของจีน และตัวนี้ไม่ขาดทุนเลยแม้จะอยู่ในยุค covid  

- ส่วนหุ้นด้านสิ่งแวดล้อม ผมเห็นว่าเป็นธุรกิจที่ดีมากผมยังถือมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 2-3 บางตัวเงินปันผลเข้าใกล้ 10% ตามที่คาดหวังแล้ว ผมยังคงถือหุ้นกลุ่มนี้ต่อไปอีกหลายปี

- หุ้นกลุ่ม defensiveอื่นๆผมว่าน่าลงทุน เช่น ประกันภัย ประกันชีวิต การสื่อสาร ผู้กระจายสินค้าด้านยาและอุปกรณ์การแพทย์ โรงไฟฟ้า(พลังงานหมุนเวียน) gas operatorและservice provider  เป็นต้น มีความเสี่ยงต่ำและมีผลตอบแทนที่ดีเลยทีเดียว 

โดยหลักๆแล้วผมว่าเราลงทุนด้วยการรอจังหวะที่ดีๆ ดีกว่าการซื้อแบบทยอยหรือการซื้อเพราะกิจการโตไว(มากๆ) ผมเองไม่ซื้อแบบ DCA เพราะเป็นวิธีที่ทำผลตอบแทนได้ไม่ดีในระยะยาว และตอนนี้ก็คือต้องถือเงินสดต่อไปแล้วค่อย all-in กับสินทรัพย์ โดยผมอาจจะถือเงินสดที่เป็นสภาพคล่องไว้ใช้ 2 ปี จากที่ตอนี้ใช้ได้ระดับ 10 ปี โดยสภาพคล่องเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นตราสารหนี้และพันธบัตร ผมยังมองว่า cash คือพระเอกที่จะทำให้พอร์ตผมโตได้อีกในอีก 3 ปีข้างหน้าหากผมคาดการณ์ได้ใกล้เคียงว่าในช่วงนับแต่ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าคือช่วงที่เรามีโอกาสซื้อหุ้นในราคาที่ดี

ในช่วงที่ผ่านมาผมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ(เป็นพวก office syndrome) ทำให้ผมไม่ได้ทำการศึกษาการลงทุนแบบเข้มข้น และทำให้ผมไม่สามารถแนะนำอะไรใครได้และคิดว่าจะพักฟื้นตัวอีกจนถึงต้นปีหน้าเลยครับ แต่ก็จะพยายามหาความรู้ให้มากกว่านี้ ปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่ผมจะทำงานในฐานะวิศวกร แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะไปทำอะไรต่อ

หวังว่าเพื่อนนักลงทุนที่ได้ลงทุนมาเพราะผมจะไม่ท้อเพราะสภาวะตลาดขาลง ผมเชื่อเสมอว่าตลาดหุ้นในภาวะวิกฤติคือโอกาสเสมอ โชคดีครับ

Saturday, January 29, 2022

กลยุทธ์การลงทุนในปี 2565 และเป็นตัวอย่างของคนที่อยากลงทุนได้นำไปคิด

เนื้อหานี้ไม่ได้ชักจูงให้ซื้อหรือขายหุ้น เพียงนำมาเป็นกรณีศึกษาเท่านั้น


สำหรับพอร์ตการลงทุนในประเทศไทย 

สถานการณ์ตลาด->ในปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นมีผลตอบแทนสูงมาก 17.67% คิดรวมเงินปันผล แต่ผมเชื่อว่าปีนี้จะไม่ดี ผลตอบแทนในหุ้นขนาดเล็กสูงมาก >50% ทำให้กองทุนหุ้นขนาดเล็กมีผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยม ผมแพ้ให้กับกองทุนพวกนี้





ถัาเราดูกองที่ดีที่สุดในปี2564 เมื่อเราดูผลตอบแทน 5 ปีย้อนหลัง 12.53%/ปี


Trailing Returns (THB)

28/01/2022

YTD

-4.83

3 Years Annualised

26.24

5 Years Annualised

12.53





ด้านล่างเป็นกองทุนที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยเกิน 10% ต่อปีในช่วงระยะเวลา 10ปี มีจำนวน 13 กองทุนจากทั้งหมด 2,325 กองทุน และมีเพียง 3 ใน 13 กองทุนเท่านั้นที่ลงทุนในไทย จะเห็นว่าการลงทุนในไทยยากขึ้นทุกวัน







สถานะการณ์พอร์ตในไทย -> ในปี 2564 ถึงปัจจุบันผมได้ทยอยขายหุ้นในไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง มองว่าราคาหุ้นในไทยยังอยู่ในระดับที่แพง มูลค่าพอร์ตในไทยอยู่ที่ 2.5-2.6 ล้านบาท(ของแฟนผม) และของผมเอง 6.5 หมื่นบาท ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบหลายปี



โดยหุ้นที่ถือครองได้แก่ ifs stanly qh เป็นหลัก และหวังผลตอบแทนในระดับ <10% ต่อปี

ในเดือนมกราคมผมได้ขายหุ้นออกไปต่อเนื่องจากปี2564และมีกำไรจากการขายหุ้น 2.4แสนบาทและได้รับเงินภาษีคืน 50,000 บาท(กว่า) ถือว่าต่ำสุดในรอบหลายปี เมื่อรวมทั้งปีแฟนผมก็จะมีกำไรเข้ากระเป๋าแล้ว 3 แสนบาทและจะได้รับเงินปันผลในช่วงเดือน พค.อีกหลักแสน รวมแล้วน่าจะมีเงินใช้ปีนี้4แสนหน่อยๆ ก็จะทำให้เขามีเงินพอใช้จ่ายในปี 2565 ทั้งปี และยังเหลือกำไรในหุ้นที่ยังไม่ขายอีก 3แสนบาท คงไม่ได้ขายออกไปครับหากไม่ได้ราคาดีจริงๆหรือไม่เห็นว่าจะมีหุ้นตัวไหนน่าสนใจมากกว่านี้กลยุทธ์ส่วนตัว -> ที่ผมทำได้ก็คือการรอ รอจังหวะให้หุ้นตกในจำนวนที่มากพอสมควรจะเข้าไปซื้อ แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังไม่ได้มองว่าการลงทุนในประเทศไทยจะเป็นการลงทุนหลักในปีนี้ ผมยังให้น้ำหนักการลงทุนที่ฮ่องกงมากที่สุด
คำแนะนำสำหรับนักลงทุนทั่วไป -> มองว่าการลงทุนจำเป็นจะต้องเข้าใจความสามารถของตัวเองเป็นสำคัญ และสิ่งที่จะทำให้การลงทุนดูง่ายขึ้นก็คือการรอให้เป็น ซื้อหุ้นในช่วงของตลาดหมี และอาจจะลดสัดส่วนในตลาดกระทิง และหากเวลาในการวิเคราะห์หุ้นมีจำกัดควรจะเลือกที่จะลงทุนในหุ้นที่อยู่ในภาวะการแข่งขันอิ่มตัวแล้วเช่น กลุ่มธุรกิจทางการเงิน อย่าโลกเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่เติบโตเร็วแม้ว่าเราอาจจะตกรถก็ตาม เพราะเรายากที่จะคาดเดาได้ว่าบริษัทใดจะเป็นผู้ชนะและบริษัทใดพ่ายแพ้ออกการแข่งขันนี้ไป หรืออาจจะซื้อกองทุน etf ในจังหวะที่ตลาดหุ้นตกต่ำก็ได้
ผมไม่แนะนำให้ซื้อหุ้นทุกๆเดือนเฉลี่ยเท่าๆกันที่เรียกว่า DCA ผมมองว่าการซื้อในจังหวัดที่ตลาดหุ้นเป็นหมีดีที่สุดซึ่งอาจจะกะได้ยาก แต่ผมชื่อว่ามีโอกาสที่จะทำได้ใกล้เคียง เราไม่จำเป็นจะต้องซื้อหุ้นในราคาต่ำสุดซึ่งเรา(หรือใครๆก็ตาม)ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าราคาต่ำสุดจะไปอยู่ตรงไหน ขอให้สังเกตว่าช่วงที่คนหมดหวังกับตลาดหุ้นช่วงที่คน(รวมถึงตัวเราด้วย) กลัวในการลงทุนในตลาดหุ้นจะเป็นช่วงที่การลงทุนในตลาดหุ้นน่าสนใจ และผมแนะนำว่า 1-2 ปีซื้อหุ้น 1 ครั้งก็ยังมีผลตอบแทนได้ดี ไม่จำเป็นต้องซื้อบ่อย




การลงทุนในต่างประเทศ
-> ปีที่แล้วผมมีกำไรดีมาก และมีปันผลที่เพิ่มสูงขึ้น มูลค่าการลงทุนรวม ณ ปัจจุบันสูงที่สุดนับตั้งแต่ผมลงทุนมา และจะเพิ่มการลงทุนเข้าไปอีกในปีนี้
-> ช่วงเดือนแรก2022 พอร์ตลงไปติดลบเล็กน้อย และเป็นโอกาสเพิ่มการลงทุน
-> ขายหุ้นผลิตยาออกไป 2 ตัว มี 1 ตัวขาดทุน >50% แต่เป็นสัดส่วนที่น้อย(<1%ของพอร์ต) และอีกตัวกำไรเล็กน้อย
-> ผมให้น้ำหนักการลงทุน HK เยอะที่สุดมากกว่า 50% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด และมองว่าช่วงนี้คือโอกาสทองในการซื้อ มีหุ้นหลายตัวที่สามารถซื้อและถือไปอีกหลายปีได้และมีผลตอบแทนที่ดี
-> โอกาสดีขนาดที่ผมแนะนำทุกคนในครอบครัวลงทุนใน HK
-> เราอาจจะได้รับข่าวว่ารัฐบาลจีนออกกฎระเบียบกำกับดูแลกิจการบางประเภททำให้ผู้ประกอบการได้รับความเสียหาย ซึ่งตรงนี้เราสามารถที่จะหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านั้นได้
-> ผมขอยกตัวอย่างหุ้นที่ผมคิดว่าซื้อในราคานี้ปลอดภัย มีความสามารถในการทำกำไรสูงกว่าบริษัทที่คล้ายกันที่ผมศึกษา ปันผลสูง เติบโตปานกลาง ได้แก่บริษัท 3877 2666(ตัวนี้คุณโจ ลูกอีสานถือ )
กำไรของ 3877 เติบโตระดับ > 15% ส่วน 2666 > 10% ต่อปี ปันผล 6%-7% , P/E ต่ำกว่า 5
-> 3877 โต >20% มาหลายปี และปี 2022-23 ยังโตต่อได้ด้วยเงิน ipo และ D/E ปานกลาง
-> เริ่มให้น้ำหนักการงทุนในหุ้นการเงินมากขึ้น และมีหุ้น fintech 3 ตัว 2003 qfin vfin 2 ตัวหลังจดทะเบียนใน us
-> alibaba ราคาถูกมากแล้วครับเป็นจังหวะ ผมก็รอตัดสินใจซื้อ
-> เพิ่มหุ้นอสังหาใน HK
->ใน us ยังไม่สนใจหุ้น tech ที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี และสนใจ roblox แต่จะลงในระดับ 1% ของพอร์ต




หุ้น 3877

ราคาหุ้น $1.15

EPS 0$.22 P/E 5.3 ปันผล 7-8%/ปี (ปันผลปีละ2ครั้ง และไม่เสียภาษี ณ ที่จ่าย 10%) D/E 2.55 เท่า ROA 3.8%

ทำธรุกิจ leasing เรือขนส่งสินค้า

กำไรในปี 2021 ประมาณ 1,330milion โดยส่วนตัวเดาว่าปี2022กำไรจะเติบโตอีก 14%และในปี 2023-24 น่าจะเติบโตต่อเนื่องจากมีเรือที่จะส่งมอบลูกค้าจำนวนมาก แต่ธรุกิจสินเชื่อจะเติบโตเร็วไปตลอดไม่ได้ พอ D/E สูงมากก็ขยายงานลำบากแล้วครับ และการปันผลสูงก็เป็นอุปสรรค์ในการขยายกิจการ






ในส่วนของ 2666 นั้น D/E 3 ปันผล 7% จ่ายปีละครั้งและหัก ณ ที่จ่าย 10% ตามกฎหมายของ china ข้อมูลอื่นๆของบริษัทดูได้จาก http://www.etnet.com.hk/www/eng/stocks/realtime/quote_ci_ratio.php?code=2666




ผมไม่ได้ทำรายละเอียดหุ้นทั้ง 2 ตัว คงต้องไปศึกษาต่อเองครับว่าน่าสนใจและควรที่จะซื้อหรือไม่

Tuesday, July 6, 2021

สร้างเงินปันผลให้ได้เดือนละ 20,000 บาท จากประสบการณ์จริง

ที่ผมตั้งเงิน 20,000 บาทต่อเดือน ก็เพราะว่าเงินจำนวนนี้สามารถใช้ได้พอเหมาะ ไม่ได้มากหรือน้อยเกินไป หากสุขภาพแข็งแรงไม่ได้เจ็บไข้ ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการดำรงชีพในต่างจังหวัดแล้วครับ

ผมขอแชร์แนวคิดที่ผมได้ลงทุนมาเป็นเวลา 18 ปี โดยเริ่มจากเงินจำนวนน้อยๆจากเงินเดือนแล้วค่อยๆสร้างมันขึ้นมา

การที่จะรู้ว่าจะได้เงินเท่าไหร่เราก็จะต้องรู้ว่าผลตอบแทนเงินปันผลจากการซื้อหุ้นเป็นเท่าไหร่ และจะทำอย่างไรให้ใช้เงินน้อยที่สุดเพื่อที่จะบรรลุเงินปันผลจำนวนที่ว่านั้น

ก่อนอื่นเราก็ต้องรู้พื้นฐานบางประการก่อนครับ

  1. การซื้อหุ้นก็คือการนำเงินไปแลกความเป็นหุ้นส่วนของบริษัท เมื่อบริษัทมีกำไรโดยส่วนใหญ่แล้วก็นำเงินผลกำไรมาจัดการได้แก่ ลงทุนเพิ่มเพื่อรักษาผลกำไรหรือเพิ่มผลกำไรในปีถัดๆไป, สะสมไว้เผื่อฉุกเฉิน หรือคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นซึ่งในรูปแบบหนึ่งก็คือการจ่ายเงินปันผล โดยจะจ่ายในอัตราหุ้นละเท่าๆกัน ใครถือหุ้นมากก็ได้มากตามจำนวนหุ้น
  2. ราคาหุ้นขึ้นลงทุกๆวัน ทุกชั่วโมง หรือแม้แต่นาที ดังนั้นแต่ละคนจึงมีต้นทุนในการซื้อหุ้น 1 หุ้นไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับวันเวลาที่ซื้อ
  3. สำหรับประเทศไทยเงินปันผลจะถูกหัก ณ ที่จ่าย 10% สำหรับคนที่มีรายได้น้อยสามารถขอคืนได้ และขอคืนได้สูงสุดอีก 25% ของเงินปันผลที่บริษัทประกาศจ่าย ส่วนการลงทุนในต่างประเทศมีกฎที่ต่างกันไป ผมลงทุนในฮองกง(HK) เงินปันผลจะไม่เสียภาษี ยกเว้นเงินปันผลของบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่จะเสีย 10% และขอคืนไม่ได้
  4. ในแต่ละปีเงินปันผลจะจ่ายไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับผลประกอบการและความจำเป็นการในใช้เงินลงทุนของบริษัท
  5. บริษัทที่กำลังเติบโตสูงส่วนใหญ่แล้วจะปันผลออกมาจำนวนน้อยเพราะผลกำไรของกิจการจะนำไปลงทุนต่อ และหากบริษัททำกำไรได้เพิ่มในอนาคต เงินปันผลก็จะเพิ่มขึ้น ส่วนบริษัทที่เติบโตช้าก็จะปันผลในอัตราที่สูง

จากข้อมูลที่ผมมีเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ประมาณ 4-5% (ค่าเฉลี่ยของหุ้นทุกตัวน้อยกว่านี้) ในปัจจุบันผมจะแบ่งกรณีนักลงทุนในไทยดังนี้ครับ ผมขอใช้ 4% ก่อน ถ้าคำนวณคร่าวๆก็จะได้เงินทุนที่จะซื้อหุ้นอยู่ที่ 240,000/0.04 = 6,000,000 บาท (เยอะเลยนะครับ)

กรณีที่1 เงินปันผลที่ได้รรับบวกันรายได้อื่นๆยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี เราจะสามารถขอรับเงินภาษีคืนนอกเหนือจากเงินหัก ณ ที่จ่าย 10% และอีก 25% ของเงินปันผลที่ได้รับ (ผมจะบอกว่ามีแนวคิดอย่างไรในบทความหน้าเรื่องแนวคิดการขอภาษีเงินปันผลคืน และมีบริษัทประเภทไหนบ้างที่เราขอภาษีคืนไม่ได้เลย) จำนวนเงินลงทุนซื้อหุ้นเพื่อที่จะได้รับเงินปันผล 240,000 ต่อปีเท่ากับ 6,000,000/1.25 = 4,800,000 บาท ซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะแต่ก็ลดลงมาแล้ว กรณีนี้เราจะได้เงินปันผล 4.8ล้านx4% = 192,000 บาทก่อนหักภาษี ณ ที่จ่าย และเราก็ไปขอคืนภาษีในภายหลัง เมื่อรวมภาษีที่คืนก็จะได้เงิน 240,000 บาท ขอให้แยกกันนะครับว่าภาษี ณ ที่จ่ายกับการขอคืนภาษีนิติบุคคล(หรือภาษีนิติบุคคลของบริษัทที่เราถือหุ้นนั้นเอง) รวมแล้วจะมีภาษี 2 ก้อนที่ขอคืนได้

 

กรณีที่2 เป็นกรณีที่ไม่สามารถขอคืนภาษีได้ ก็คือกรณีที่มีรายได้อื่นๆที่ไม่รวมเงินปันผลถึงเกณฑ์เสียภาษี แต่อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าเมื่อเกษียณรายได้อื่นๆจะหายไปเหลือแต่รายได้ที่มันไม่ได้เสียภาษีดังนั้นการขอคืนภาษีได้บางส่วน (ผมจะบอกว่ามีแนวคิดอย่างไรในบทความหน้า ซึ่งคือแนวคิดเดียวกันกับ กรณีที่1) ในกรณีที่1 ขอคืนได้ 25% กรณีนี้จะขอคืนได้ 10%

เงินที่จะต้องใช้ก็คือ 6,000,000/1.1 = 5.45 ล้านบาท

แล้วจะมีวิธีใดบ้างที่ใช้เงินน้อยกว่า5.45ล้านบาทแล้วได้ปันผล 240,000 บาทต่อปี โดยส่วนตัวผมเองได้เงินปันผลจำนวนนี้มานานแล้วครับก็ด้วยการวางแผนให้ดี ผมจะยกตัวอย่างให้ดูนะครับว่าเงินที่ใช้จะลดลงแค่ไหน ผมจะยกตัวอย่างในกรณีที่1 เป็นพอร์ตแฟนผมซึ่งไม่ได้ทำงานจึงขอภาษีได้เต็มที่ (แม้แต่อาของผมที่มีบำนาญประมาณ30,000 ต่อเดือนก็ยังสามารถขอภาษีคืนได้เป็นจำนวนมาก) แนวคิดนั้นก็ได้แก่

แนวคิดที่1 วางแผนการได้เงินปันผลจำนวน 2.4แสนต่อปีแต่เนินๆ

ปกติแล้วกิจการที่ดีจะมีการเพิ่มขึ้นของเงินปันผลทุกๆปี เช่นหุ้น sis ที่ผมถือมานาน ข้อมูลด้านล่างคือการจ่ายเงินปันผล ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์


ผมเริ่มเข้าซื้อหุ้น sis ในปี 2014 และหาจังหวะซื้อเพิ่มเมื่อหุ้นมีราคาตกลง ถือจนถึงปี 2021 ด้วยต้นทุนเฉลี่ย 4.5 บาทต่อหุ้น(โดยประมาณ และนักลงทุนมีโอกาสซื้ออยู่หลายครั้งที่หุ้นมีราคาช่วง 4-6 บาทในระหว่างปี 2014-2020) ถ้าผมต้องการเงินปันผลตามกรณีที่1 เราก็จะต้องถือหุ้นจำนวน 192,000 หุ้นไว้ในปี 2021(กำไรของบริษัทในปี2020 จะถูกจ่ายเงินปันผลในปี 2021 เป็นจำนวน 1 บาทต่อหุ้น) ถ้าเราซื้อในปี 2021 ที่ราคา 30 บาทต่อหุ้น ก็จะใช้เงิน5.76 ล้านบาท แต่ถ้าสะสมซื้อเหมือนอย่างผมทำมาตั้งแต่ปี 2014 ก็จะใช้เงิน 192,000x4.5 = 864,000 บาท เท่านั้นเองครับและระหว่างนี้ก็ได้เงินปันผลทุกปีด้วยเราสามารถนำเงินปันผลกลับมาซื้อหุ้นเพิ่มได้ แต่นี้เป็นการเขียนสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วมันดูง่ายไปหน่อยเพราะใครๆก็พูดได้ เราควรจะมาพูดถึงว่า “แล้วตอนนี้ถ้าจะทำแบบนั้นทำยังไง? “ ผมจะแยกบทความนี้ออกไปต่างหากครับ และขอบอกก่อนว่าในปัจจุบันราคาหุ้นไทยนั้นแพงมากพอสมควรการจะได้เงินปันผลดีต้องมีกลยุทธที่ดีครับ

แนวคิดที่2  เลือกลงทุนในต่างประเทศ

แนวคิดนี้ต้องการหนีจากประเทศไทยที่การเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำและราคาหุ้นแพง ผมขอยกตัวอย่างประเทศฮองกงขอใช้ตัวย่อเป็น HK ซึ่งเป็นพอร์ตการลงทุนของผมและจากประสบการณ์การลงทุนโดยตรง

เงินปันผลดีๆที่ผมได้รับจากหุ้นที่ผมซื้อใน HK มีตั้งแต่ 8%-15% ขึ้นอยู่กับธุรกิจ แต่ปัจจุบันเราสามารถหาหุ้นที่ปันผลระดับ 6-7% ได้และมีปันผลที่เติบโตได้ นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่ผมซื้อล่าสุดไป(ผมใช้เงินไม่มากในการซื้อหุ้นตัวนี้)มีอัตราเงินปันผลที่ 9.7% แต่มันอาจจะมีปันผลในแต่ละปีไม่สม่ำเสมอผมจึงเลือกซื้อแบบเล็กน้อย และผมไม่ชอบหุ้นที่คาดการณ์ไม่ได้ ผมเน้นไปที่ธุรกิจด้านการจัดการทรัพยากรณ์ด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งมีสัญญากับภาครัฐบาลจีนระยะยาว

ผมจะยกตัวอย่างถัดไป หุ้นประกันภัยชื่อหุ้น PICC GROUP ราคาหุ้นตอนนี้คือ $2.65  มีการจ่ายเงินปันผลในปีที่ผ่านมาที่ $0.1871 ต่อหุ้น หรือคิดเป็น 7.06% แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่ผมชี้ให้ดู ประเด็นอยู่ที่บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลเพิ่มได้ทุกๆปี ตามรูปด้านล่างครับ ตัวเลขที่อยู่บนกราฟแท่งเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นในแต่ละปี


อย่างไรก็ดี หุ้นตัวนี้ก็ยังไม่ใช่หุ้นที่ผมลงทุนเยอะที่สุดหรือให้ความหวังมากที่สุด ผมจะยกตัวอย่างหุ้น China Everbright Environment Group เป็นหุ้นหลักของผม ราคาหุ้นตอนนี้ 4.28 มีอัตราเงินปันผลในปีล่าสุดอยู่ที่ 7.01% หรือ $0.3 ต่อหุ้น(ไม่เสียภาษี ณ ที่จ่ายด้วยครับ ได้รับเงินเต็มๆ) และมีแนวโน้มว่าจะได้รับเงินปันผลเพิ่มในปีถัดๆไปจากงานในมืออีกจำนวนมาก และเนื่องจากโครงการของบริษัทเป็นสัญญาระยะยาว (20-50ปี) ทำให้ผมสบายใจที่จะลงทุนในหุ้นเหล่านี้ไปอีก 10 ปีได้เลย


เมื่อแนวคิดนี้เราจะหวังว่าอีก 4 ปีข้างหน้าเราจะมีเงินปันผลปีละ 240,000 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น $57,800 (เหรียญฮองกง) ผมคาดว่าเงินปันผลที่จะได้รับจากหุ้นตัวนี้จะอยู่ราวๆ $0.51 ต่อหุ้น เราจะใช้จำนวนหุ้น 57,800/0.51 = 113,334 หุ้น เมื่อนำไปคูณราคาหุ้นก็จะได้เงินลงทุน $485,070 คิดเป็นเงินไทยอยู่ทึ่ 2.01 ล้านบาท ถือว่าไม่มากนักครับ

แนวคิดที่3 ซื้อหุ้นที่มีปันผลสูงกว่านี้อีก

แนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ทำให้เราได้เงินปันผลสูงทันที แต่จงจำไว้ว่าต้องหุ้นบริษัทที่เรามั่นใจได้ว่าบริษัทจะไม่ลดเงินปันผลลงในปีถัดๆไป ซึ่งปัญหานี้เกิดจากบริษัทมีกำไรลดลงนั้นเองครับ กรณีนี้ผมจะไม่กล่าวถึงในตอนนี้เพราะผมเองก็มีหุ้นพวกนี้จำนวนน้อยมากและไม่แนะนำวิธีนี้ครับ ผมจะให้เหตุผลในเรื่องนี้ในบทความถัดๆไป

แนวคิดที่4 ลงทุนในไทยแต่ต้องใจเย็น

ในเมื่อหุ้นไทยยังแพง สิ่งที่เราจะทำได้คือรอ ในระหว่างนี้เราต้องศึกษาหุ้นให้ดี กรณีนี้ผมจะนำมาเขียนบทความเพื่อแนะนำวิธีการอีกทีครับเพราะมันเป็นวิธีการที่ต้องอาศัยทักษะที่สูงขึ้นไปอย่างมาก


Sunday, January 19, 2020

หุ้นยาที่มี market share สูงเกิน 90% ในตลาดจีน



การเรียนรู้เรื่องการลงทุนจำเป็นจะต้องเรียนรู้ต่อเนื่องและเก็บเล็กผสมน้อยไปเรื่อยๆ waren buffet ได้ให้คำแนะนำว่าควรอ่านงบการเงินซึ่งได้แก่เอกสารรายงานประจำปีและอธิบายของฝ่ายบริหารซึ่งจะชี้แจงสถานะของบริษัทที่เกี่ยวกับรายได้หรือกำไรที่เปลี่ยนแปลงไปจากงวดการเงินเดียวกันเมื่อเทียบปีต่อปี พัฒนาการของบริษัทที่จะเกิดขึ้นในอีกหลายปีข้างหน้า

การอ่านรายงานประจำปีหรืองบการเงินประจำไตรมาสจำเป็นจะต้องอ่านจำนวนหลายบริษัทในอุตสาหกรรมเดียวกันและหลายๆปีติดต่อกันเพื่อจะได้เห็นภาพการเปลี่ยนแปลงของบริษัทรวมถึงการแข่งขันในอุตสาหกรรมเดียวกันนั้น



ภาษาของการลงทุนก็คือการเข้าใจด้านวิธีการดำเนินธูรกิจและการบัญชี เมื่อเข้าใจเกี่ยวกับวิธีการประกอบกิจการของบริษัทจากการอ่านรายงานประจำปีก็จะต้องเข้าใจถึงตัวเลขที่บริษัทได้ชี้แจงในงบการเงินนั้น

สมัยที่ผมได้ศึกษาเรื่องการลงทุนใหม่ๆผมคิดว่าการบัญชีนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลยเพราะมันเหมือนเป็นสามัญสำนึกธรรมดาของการบันทึกรายได้รายจ่าย แม้ว่าผมไม่ได้อ่านเรื่องบัญชีลึกซึ้ง ผมก็ยังสามารถที่จะลงทุนได้รับผลตอบแทนที่ดีเป็นเวลาหลายปี บัญชีของผู้ตรวจสอบบัญชีหรือผู้ลงบัญชีแตกต่างกับการบัญชีเพื่อการลงทุนเราไม่จำเป็นต้องรู้ขนาดนั้น อย่างไรก็ตามผมยังแนะนำว่าควรที่จะอ่านงบการเงินฉบับสำหรับนักลงทุนเพื่อที่จะเข้าใจแนวความคิดเกี่ยวกับการบัญชีและสามารถอ่านงบการเงินได้อย่างเข้าใจและถูกต้อง
ครั้งก่อนผมได้แนะนำหุ้นโรงเรียนในตลาดฮ่องกงนั่นก็คือ Maple leaf Education ตอนนี้ราคาเพิ่มขึ้นไปราวๆ 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว ส่วนหุ้น 3 ตัวก่อนหน้านั้นก็สามารถบวกได้โดยเฉลี่ย 18 เปอร์เซ็นต์ในระยะเวลา 3-4 เดือน ราคาหุ้นไม่ได้สำคัญกว่าผลประกอบการดังนั้นราคาเป็นแค่เครื่องชี้วัดให้เราหาจังหวะซื้อหุ้นดีๆแล้วถือนานๆ

YICHANG HEC CHANGJIANG PHARMACEUTICAL CO., LTD. - H SHARES (1558)

วันนี้ผมจะมาพูดถึงหุ้นยา(วิจัย พัฒนาและผลิต) ยาของบริษัทมีหลายรายการ แต่สินค้ารายการหนึ่ง ทำรายได้และกำไรให้บริษัทคิดเป็น 95% ของรายได้ทั้งหมด และยาตัวนี้ก็ยังมีส่วนแบ่งการตลาดในประเทศจีนมากกว่า 90%

การที่สินค้าและหรือบริการจะมีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 90 เปอร์เซ็นต์นั้นย่อมแสดงให้เห็นว่าสินค้าหรือบริการนั้นมีความเหนือชั้นกว่าคู่แข่งเป็นอย่างมาก


ยาที่ว่ามานั้นของบริษัทก็คือรักษาโรคไข้หวัดใหญ่(Anti-viral)ที่มียี่ห้อ Kewei เป็นยา Oseltamivir เข้ามาทำตลาดในปี 2006




ยา kewei มีการเติบโตของรายได้ในช่วงปี 2015 - 2017อยู่ที่ 76% และการเติบโตในปี 2018 ถึง 2019 มีอัตราการเติบโตสูงถึง 100%


บริษัทไม่ได้เปิดเผยส่วนแบ่งการตลาดในปี 2019 ผมคาดว่าน่าจะมีสัดส่วนมากกว่า 95% จากปี 2017 ที่อยู่ที่ 92.5 เปอร์เซ็นต์


โอกาศของยากีวีในปี 2020

จาก presentation ของบริษัทได้สรุป Key Factor ที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้ยา kewei สามารถเติบโตได้(เนื่องจากได้กิน market share ของคู่แข่งเกือบหมดแล้ว)

นั้นก็คือการเลิกใช้ยา Amantadine และ TCM(traditional chinese medicine) อยู่ราวๆ 50 เปอร์เซ็นต์






ในอนาคตอันใกล้
บริษัทยังมีตัวยา Hepatitis C (Anti-viral , treating liver cirrhosis-free genotype) ที่กำลังมาถึงขั้น NDA (ผ่าน phase III clinical trial มาแล้ว)และเป็นบริษัทแรกของจีนที่ผลิตตัวยานี้

“Company’s Yimitasvir / Sofosbuvir and Yimitasvir / Furaprevir are positioned as one of the 1st domestically-manufactured dual-DAA treatments to achieve commercialization in China “

ตลาดในสวนนี้มีมูลค่าสูงถึง 30,000 ล้านหยวน

ยาอินซูลิน
จากนี้บริษัทยังดำเนินการคิดค้นและวิจัยตัวยาอินซูลิน ที่มีมูลค่าตลาดในจีนสูงถึง 50,000 ล้านหยวน แม้ว่าสิทธิบัตรในยาอินซูลินได้หมดลงแล้วเมื่อหลายสิบปีก่อนแต่มีเพียงบริษัทใหญ่ 3 บริษัทในโลกที่ครองส่วนแบ่งการตลาดราวๆ 90% เป็นโอกาสของบริษัทที่จะสร้างรายได้ในอนาคต

อย่างไรก็ตามในธุรกิจทั้งหลายย่อมต้องมีคู่แข่งการที่มูลค่าตลาดของยาอินซูลินสูงมากทำให้หลายๆบริษัทต่างก็ทุ่มเททรัพยากรเพื่อที่จะวิจัยและพัฒนาเพื่อผลิตสินค้าออกมาขายแข่งกับผู้ครองตลาดเดิม แต่เหตุผลที่ 3 บริษัทใหญ่ยังคงครองเจ้าตลาดต่อเนื่องมาหลายสิบปี ผมเชื่อว่าเกิดจาก ปัญหาการผลิตที่ยาก, มีต้นทุนที่ต้องทำวิจัยสูง เพื่อที่จะให้ยามีคุณภาพเทียบเท่ายาต้นฉบับ(biosimilar)


ตารางแสดงรายการวิจัยและพัฒนาจากรายงาน interim report 1H2019


ราคาหุ้น ณ วันที่เขียน 17 Jan 2020 HK$ 41.6
P/E 13 เท่า

market cap 18.8b million

dividend HK$ 1.87/share

หลักการในการคิดที่จะซื้อหุ้นระดับ  5 เท่าของมูลค่าทางบัญชี
- บริษัทมี barrier to entry เพราะยาก kewei มี market share ที่สูงมาก 93% สิทธิบัตรนี้จะหมดในปี 2026 ยังมีเวลาทำกำไรอีกไม่น้อยกว่า HK$ 12 - 15 billion และหลังจากนั้นก็คงยังทำกำไรได้ไปอีกหลายปีจนกว่าคู่แข่งจะทำการเลียนแบบยาของบริษัท 
- มียากลุ่ม anti-viral ที่บริษัทจะออกจำหน่าย และมีโอกาสทำเงินสูง
- ยังมี insulin ที่เป็นความหวังที่จะเพิ่มรายได้และกำไรในอนาคต 
- ทั้งหมดนี้แค่ยา kewei ก็คุ้มค่าในการลงทุนแล้ว เพราะในการประกาศผลประกอบการปี 2019 กำไรของบริษัทที่จะประกาศผมคาดว่าจะอยู่ที่ HK$ 5.0 /หุ้น ทำให้ P/E ลดต่ำกว่า 10 เท่า

Wednesday, January 15, 2020

ผลตอบแทนในปี 2562 ของกองทุน LTF ที่ดีที่สุด ผลตอบแทนของตลาดหุ้น (เล็ก กลาง ใหญ่)

สรุปผลตอบแทนของหุ้นไทยในปี 2562 ดังนี้

--- ผลตอบแทนของ SET โดยรวมผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ 4.29%
 SET ถือเป็นตัวแทนของผลตอบแทนโดยรวมของหุ้นทุกตัว โดยใช้วิธีถ่วงน้ำหนักตามขนาดของหุ้น

--- ผลตอบแทนของหุ้นขนาดใหญ่ SET50 โดยรวมผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ 5.32%
โดยมีหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ที่ทำให้ SET50 และ SET มีผลตอบแทนจากส่วนต่างราคาหุ้นที่ดีมากจนดึงหุ้นทั้งหมดเป็นบวกได้

--- ผลตอบแทนของหุ้นขนาดเล็ก SETs โดยรวมผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ -24.28 %
ในปีนี้ผลตอบแทนหุ้นในกลุ่มที่ผมลงทุนติดลบเป็นตัวเลขที่สูงและปีที่แล้วก็ติดลบ โดยปี2561 มีผลตอบแทนที่ -22.25%
--- ผลตอบแทนของหุ้นขนาดเล็ก MAI โดยรวมผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ -30.52 %
เป็นหุ้นขนาดเล็กที่อยู่ในตลาด MAI ซึ่งผมไม่ลงทุนเป็นการติดลบ 3 ปีติดต่อกัน โดยในปี 2560, 2561 มีผลตอบแทน -10.97%, -13.67% ตามลำดับ

ตลาดหลักทรพัย์เคยโฆษณาชวนเชื่อว่าการลงทุนในหุ้นขนาดเล็กจะมีโอกาสได้ผลตอบแทนได้ดีกว่าหุ้นขนาดใหญ่ มันทำให้ความเชื่อนี้ได้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริง

--- ผลตอบแทนของหุ้นปันผลสูง SETHD โดยรวมผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ -4.47 %
ทางตลาดหลักทรัพย์ได้จัดกลุ่มหุ้นที่มีปันผลที่ดีมารวมกันไว้ตั้งแต่ปี2555 และก็พิสูจน์ได้ว่าหุ้นที่ปันผลดี ไม่ได้แปลว่าจะตอบแทนดี

--- ผลตอบแทนของกองทุน SCBLTS โดยรวมผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ 1.49% และกองทุนนี้ก็หลุดจากกองทุน LTF ที่มีผลตอบแทนแย่ที่สุดตลอดกาลได้แล้ว

--- ผลตอบแทนของกองทุน CG-LTF โดยรวมผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ 3.02 % ยังเป็นกองที่มีผลตอบแทนนับตั้งแต่มี LTF ถึงปัจจุบันดีที่สุด

--- ผลตอบแทนของ "ส่วนตัว" โดยรวมผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ที่ 2.47 %
ผมใช้ port บัวหลวงเป็นตัววัดผลตอบแทน (เนื่องจากผมมี port หลายพอร์ต แต่เกือบทั้งหมดถือหุ้นกลุ่มเดียวกัน แม้ว่าจะมีผลตอบแทนแต่ต่างกัน แต่ผมเลือกใช้พอร์ตบัวหลวงที่มีฟังชั่นการวัดผลตอบแทนมาเป็นตัวแทน ) แม้โดยรวมๆทุกๆพอร์ตผลตอบแทนในปีนี้ของผมน่าจะน้อยกว่านี้เล็กน้อย แต่ในปีก่อนๆผลตอบแทนในพอร์ตอื่นก็ดีกว่าบัวหลวงเช่นกัน

ผลตอบแทนย้อนหลัง

นับตั้งแต่ปี 2551(เป็นเวลา 12ปี) ผลตอบแทนแบบทบต้นของ CG-LTF ก็ถือว่าดีมากทำได้ถึง 11.79% เอาชนะ SET ได้ 2.59% ต่อปี

นับตั้งแต่ปี 2557(เป็นเวลา 6ปี) ผลตอบแทนแบบทบต้น "ส่วนตัว" ก็ถือว่าดีมากทำได้ 21.76% เอาชนะ SET ได้ 15.1% ต่อปี และมีผลตอบแทนรวม 225.86% ในเวลา 6 ปี

ในปีนี้ผมเชื่อว่า ผลตอบแทนของผมซึ่งต่ำมา 2 ปีจะทำได้ดียิ่งขึ้นไปและ ผมยังคงมีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนเพื่อทำให้ชีวิตมีความมั่นคงในอนาคต



Thursday, December 5, 2019

Q3/2562

ในความเห็นผมเรื่องการลงทุนในสภาพปัจจุบัน ผมเห็นว่าระดับของราคาหุ้นเมื่อเทียบกับการนำเงินไปลงุทนอย่างอื่นอยู่ในช่วงที่น่าซื้อ ในขณะที่การฝากเงินหรือการซื้อพันธบัตรมีดอกเบี้ยไม่เกิน 3% แต่ผมเชื่อว่าหุ้นที่ได้เลือกไว้จะมีผลตอบแทนราวๆ 8% ขึ้นไป แต่ถ้าหากใครมีช่องทางการลงทุนที่ดีกว่าก็อื่นเรื่อง
ข้อมูลที่เขียนในวันนี้ก็จะสั้นถึงสั้นมาก เพราะใน email ฉบันก่อนๆนั้นได้ใส่ข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญไว้ดีแล้ว และหากนำมาต่อกันก็จะเข้าใจในกิจการมากขึ้น

SIS

อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสมกับการลงทุน ระดับ ROE ที่เกิน 15% และราคาหุ้นไม่สูงมากหายากในตลาดหุ้นไทย



กราฟรายปีในปี 2562 เป็นข้อมูล 9 เดือน

TK


บริษัทยังคงขยายกิจการในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่องทำให้การเติบโตในต่างประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่วนในประเทศยังคงมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจทำให้บริษัทชลอการปล่อยสินเชื่อเพื่อรักษาคุณภาพของลูกหนี้ ในปีหน้าจะมีการปรับมาตราฐานบัญชีใหม่คงต้องรอดูเรื่องการสำรองหนี้เสียซึ่งจะมีผลกระทบตอกำไร
กราฟรายปีในปี 2562 เป็นข้อมูล 9 เดือน

BLA


ในราคาที่ต่ำกว่า BV หุ้นจะให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี แม้ว่าดอกเบี้ยจะต่ำ แต่การปรับตัวของธุรกิจประกันชีวิตก็ต้องทำกันทุกบริษัท และผลตอบแทนระดับ ROE ที่ต่ำกว่า 10% ก็คงไม่มีบริษัทไหนต้องการจะทำ ผลกระทบต่างๆไม่ใช่เกิดกับ BLA เจ้าเดียว ดังนั้นทุกๆบริษัทก็จะเน้นไปที่ความคุ้มครองมากกว่าที่จะเป็นการออมทรัพย์

กราฟรายปีในปี 2562 เป็นข้อมูล 9 เดือน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://100instock.blogspot.com/2019/11/q32562-bla.html

THRE


หุ้นรับประกันภัยต่อ บริษัทได้มีการขาดทุนในโครงการรับประกับใน1-3ปีที่ผ่านมาจำนวนพันกว่าล้านบาท ทำให้บริษัทเริ่มมีกำไรในปีนี้ และยังมีขาดทุนในโครงการดังกล่าาวในปีนี้อีก 130 ล้าบบาท มูลค่าซื้อขายกันที่ 0.71 เท่า(ในราคา 0.62บาท/หุ้น)
กราฟรายปีในปี 2562 เป็นข้อมูล 9 เดือน


STANLY


รายได้และกำไรทำ new high  รวมถึงเงินสดที่ยังมีเหลือถือ 3.5พันล้านบาท หรือ 40 บาทต่อหุ้น ทำให้บริษํทพร้อมที่จะรับมือกับขาลงของเศรษฐกิจได้ และบริษัทยังคงได้รับ order ใหม่ๆ แต่ก็ชดเชยกับภาพรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการลดกำลังการผลิตอย่างมาก
ดูเพิ่มเติม https://100instock.blogspot.com/2019/12/q32562-stanly.html
กราฟรายปีในปี 2562 เป็นข้อมูล 9 เดือน

IFS


หุ้นที่มีรายได้และกำไรเสม่ำเสมอ ผมเชื่อว่าการซื้อราคาแถวๆ BV จะสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่ดีกว่า 8% ตอปี



------------------------------------------------------------***
ผมขอแบะนำหุ้นจำนวนนี้ที่จะลงทุนเพิ่มเติมได้ หากเราไม่ลงทุนเงินสดก็ไม่ทำกำไร และในช่องนี้ผมเชื่อว่ากองทุนที่ลงทุนในประเทศก็ไม่ได้ผลตอบแทนดีอะไรเลย หากยอนหลังไป 5 ปีกองทุนในประเทศมีผลตอบแทนเฉลี่ยไม่เกิน 3% ต่อปีทบต้น แม้ว่าปีนี้จะเป็นปีที่กองทุนในประเทศทำได้ดีแต่การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นบางตัวมันผิดปกติ โดยปกคิแล้วหากราคาหุ้นเพิ่มเกินกว่าผลประกอบการไปมากๆมันจะเป็นแบบนี้ไปอีกไม่ได้และสุดท้ายผลประกอบการคือตัวสำคัญในการลงทุน ดังนั้นกองทุนเหล่านี้ก็จะมีผลที่ขึ้นๆลงๆและผมเชื่อว่ากองทุนจะทำได้ใกล้กับผลตอบแทนของ index เท่านั้น

หากเราไปมุ้งเน้นที่ราคาหุ้นเกินไปก็จะทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งของ "นายตลาด" ทั้งๆที่การลงทุนเราควรจะมองไปที่ผลประกอบการ และหุ้นที่ผมเลือกมาด้านบนก็มีผลประกอบการที่ดีและเหมาะสมกับราคาที่จ่ายไป
ผลตอบแทนของ warren ที่วัดผลออกมาก็ใช้ BV ซึ่งกำไรนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของ BV ที่สะสมเข้าไปเรื่อยๆนั้นเอง เพราะ warren ซื้อและถือยาวในระดับ 10 ปีขึ้นไป หากหุ้นตัวไหนที่ผลประกอบการไม่ดีและมีทิศทางของกิจการที่แข่งขันไม่ได้เขาก็จะขายหุ้นออกไป ส่วนหุ้นที่ยังมีผลประกอบการที่ดีเขาก็จะเก็บเอาไว้ และเอาเงินปันผลมาซื้อหุ้นเพิ่มไปเรื่อยๆ นั้นคือแนวคิดการลงทุนที่แท้จริง หากเราหวังกับราคาหุ้นและยึดติดกับมันก็จะทำให้เราหลุดจากหลักการและสับสนเมื่อหุ้นที่ยังมีกำไรที่ดีมีราคาลดลงและความกลัวก็จะเขามาในจิตใจเรา หากราคาหุ้นลดลงนั้นก็จะเป็นการเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุน


Sunday, December 1, 2019

Q3/2562 หุ้น STANLY



กราฟด้านบนแสดงผลประกอบการ ประกอบด้วยรายได้ กำไร และอัตรากำไรสุทธิ
โดยกราฟแรก แสดงเป็นรายปี จะเห็นว่าบริษัทมีรายได้และกำไรต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา และในไตรมาสล่าสุดแม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะลดกำลังการผลิต บริษัทก็ยังทำรายได้และกำไรเป็นจุดสูงสุดใหม่
บริษัททำธุรกิจผลิตหลอดไฟ และโครมไฟของรถจักรยานยนต์และรถยนต์ สามารถดูข้อมูลได้ที่ http://www.thaistanley.com/wp-content/uploads/2019/08/1_Stanley-56-1_All_TH.pdf

จุดที่ควรพิจารณาสำหรับบริษัทนี้คือ

- มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ และในปีที่ผานมาบริษัทจ่ายปันผลในอัตรา 8.25 บาท/หุ้นสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา โดยการจ่ายปันผลจะอิงกับผลประกอบการ และจะจ่ายในอัตรา 32% ของกำไรสุทธิ ดูข้อมูลได้จาก https://www.jitta.com/stock/bkk:stanly/factsheet
- บริษัทมี market cap. 13,792 ล้านบาท ที่ราคาหุ้น 180 บาท และมีเงินสดและเทียบเท่าเงินสดที่ไม่จำเป็นในการดำเนินกิจการ 3,536 ล้านบาทหรือคิดเป็น 46.14 บาทต่อหุ้น โดยในไตรมาสก่อนบริษัมีเงินสดมากกว่านี้แต่ได้นำไปลงทุนขยายกิจการในโรงงานแห่งที่ 8 ทำให้ปีหน้าจะมีรายได้จากโรงงานแห่งใหม่เข้ามา
- ในช่วงนี้คำสั่งซื้อลดลงตามยอดขายรถยนต์ แต่บริษัทก็ยังได้รับคำสั่งซื้อใหม่ๆเข้ามาชดเชย


ที่มา https://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=STANLY&ssoPageId=5&language=th&country=TH

- บริษัทมี ROE อยู่ที่ 20% เมื่อปรับแก้ด้วยการตัดเงินสดอิสระออกไป
- บริษัทซื้อขายกันที่ 0.85 เท่าของมูลค่าทางบัญชี ต่ำสุดตอลดกาล
- ระดับเงินปันผล 4.58% ถือว่าเป็นอัตราที่ดีมาก
- ในปีนี้บริษัทได้สำรองผลประโยชน์พนักงาน(ตามกฎหมายใหม่)ราวๆ 80 ล้านบาทในไตรมาสก่อน
- รถยนต์ไฟฟ้า EV จะมีผลกระทบต่อบริษัทก็ต่อเมื่อ บริษัทต่างๆย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ หากบริษัทรถยนต์ยังคงผลิตในประเทศไทย บริษัทก็ยังคงได้รับคำสั่งซื้อเช่นเดิม ปัญหานี้ควรอยู่ที่รัฐจะต้องดำเนิการแก้ไขและปกป้องอุตสาหรรมรถยนต์ในประเทศไว้ให้ได้ เพราะหากให้นำเข้าจากจีนด้วยอัตรารภาษี 0% คาดว่าปัญหาคงมีแน่นอน เพราะตอนนี้ไทยยังไม่ได้สร้าง eco system ในด้าน EV เลย ในขณะที่จีนไปไกลมาก
- บริษัทมีรอบงบการเงินในเดือน มีนาคม (บริษัทส่วนใหญ่จะปิดงบการเงินที่เดือนธันวาคม )
ส่วนตัวผมได้ซื้อหุ้นตัวนี้เพิ่ม และเชื่อว่าด้วยฐานะการเงินที่ดีของบริษัทก็จะทำให้บริษัทสามารถสร้างผลกำไรในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้นได้