สร้างเงินปันผลให้ได้เดือนละ 20,000 บาท
จากประสบการณ์จริง
ที่ผมตั้งเงิน 20,000 บาทต่อเดือน
ก็เพราะว่าเงินจำนวนนี้สามารถใช้ได้พอเหมาะ ไม่ได้มากหรือน้อยเกินไป
หากสุขภาพแข็งแรงไม่ได้เจ็บไข้
ก็ถือว่าเพียงพอสำหรับการดำรงชีพในต่างจังหวัดแล้วครับ
ผมขอแชร์แนวคิดที่ผมได้ลงทุนมาเป็นเวลา 18 ปี
โดยเริ่มจากเงินจำนวนน้อยๆจากเงินเดือนแล้วค่อยๆสร้างมันขึ้นมา
การที่จะรู้ว่าจะได้เงินเท่าไหร่เราก็จะต้องรู้ว่าผลตอบแทนเงินปันผลจากการซื้อหุ้นเป็นเท่าไหร่
และจะทำอย่างไรให้ใช้เงินน้อยที่สุดเพื่อที่จะบรรลุเงินปันผลจำนวนที่ว่านั้น
ก่อนอื่นเราก็ต้องรู้พื้นฐานบางประการก่อนครับ
- การซื้อหุ้นก็คือการนำเงินไปแลกความเป็นหุ้นส่วนของบริษัท
เมื่อบริษัทมีกำไรโดยส่วนใหญ่แล้วก็นำเงินผลกำไรมาจัดการได้แก่
ลงทุนเพิ่มเพื่อรักษาผลกำไรหรือเพิ่มผลกำไรในปีถัดๆไป, สะสมไว้เผื่อฉุกเฉิน
หรือคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นซึ่งในรูปแบบหนึ่งก็คือการจ่ายเงินปันผล
โดยจะจ่ายในอัตราหุ้นละเท่าๆกัน ใครถือหุ้นมากก็ได้มากตามจำนวนหุ้น
- ราคาหุ้นขึ้นลงทุกๆวัน ทุกชั่วโมง
หรือแม้แต่นาที ดังนั้นแต่ละคนจึงมีต้นทุนในการซื้อหุ้น 1 หุ้นไม่เท่ากัน
ขึ้นอยู่กับวันเวลาที่ซื้อ
- สำหรับประเทศไทยเงินปันผลจะถูกหัก
ณ ที่จ่าย 10% สำหรับคนที่มีรายได้น้อยสามารถขอคืนได้
และขอคืนได้สูงสุดอีก 25% ของเงินปันผลที่บริษัทประกาศจ่าย
ส่วนการลงทุนในต่างประเทศมีกฎที่ต่างกันไป ผมลงทุนในฮองกง(HK) เงินปันผลจะไม่เสียภาษี
ยกเว้นเงินปันผลของบริษัทในจีนแผ่นดินใหญ่จะเสีย 10% และขอคืนไม่ได้
- ในแต่ละปีเงินปันผลจะจ่ายไม่เท่ากัน
ขึ้นอยู่กับผลประกอบการและความจำเป็นการในใช้เงินลงทุนของบริษัท
- บริษัทที่กำลังเติบโตสูงส่วนใหญ่แล้วจะปันผลออกมาจำนวนน้อยเพราะผลกำไรของกิจการจะนำไปลงทุนต่อ
และหากบริษัททำกำไรได้เพิ่มในอนาคต เงินปันผลก็จะเพิ่มขึ้น
ส่วนบริษัทที่เติบโตช้าก็จะปันผลในอัตราที่สูง
จากข้อมูลที่ผมมีเงินปันผลของตลาดหุ้นไทยจะอยู่ประมาณ
4-5% (ค่าเฉลี่ยของหุ้นทุกตัวน้อยกว่านี้)
ในปัจจุบันผมจะแบ่งกรณีนักลงทุนในไทยดังนี้ครับ ผมขอใช้ 4% ก่อน
ถ้าคำนวณคร่าวๆก็จะได้เงินทุนที่จะซื้อหุ้นอยู่ที่ 240,000/0.04
= 6,000,000 บาท (เยอะเลยนะครับ)
กรณีที่1 เงินปันผลที่ได้รรับบวกันรายได้อื่นๆยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องเสียภาษี
เราจะสามารถขอรับเงินภาษีคืนนอกเหนือจากเงินหัก ณ ที่จ่าย 10% และอีก 25% ของเงินปันผลที่ได้รับ
(ผมจะบอกว่ามีแนวคิดอย่างไรในบทความหน้าเรื่องแนวคิดการขอภาษีเงินปันผลคืน
และมีบริษัทประเภทไหนบ้างที่เราขอภาษีคืนไม่ได้เลย)
จำนวนเงินลงทุนซื้อหุ้นเพื่อที่จะได้รับเงินปันผล 240,000
ต่อปีเท่ากับ 6,000,000/1.25 = 4,800,000 บาท ซึ่งถือว่าค่อนข้างเยอะแต่ก็ลดลงมาแล้ว
กรณีนี้เราจะได้เงินปันผล 4.8ล้านx4% = 192,000 บาทก่อนหักภาษี ณ ที่จ่าย และเราก็ไปขอคืนภาษีในภายหลัง เมื่อรวมภาษีที่คืนก็จะได้เงิน
240,000 บาท ขอให้แยกกันนะครับว่าภาษี ณ
ที่จ่ายกับการขอคืนภาษีนิติบุคคล(หรือภาษีนิติบุคคลของบริษัทที่เราถือหุ้นนั้นเอง)
รวมแล้วจะมีภาษี 2 ก้อนที่ขอคืนได้
กรณีที่2 เป็นกรณีที่ไม่สามารถขอคืนภาษีได้
ก็คือกรณีที่มีรายได้อื่นๆที่ไม่รวมเงินปันผลถึงเกณฑ์เสียภาษี
แต่อย่างไรก็ตามผมเชื่อว่าเมื่อเกษียณรายได้อื่นๆจะหายไปเหลือแต่รายได้ที่มันไม่ได้เสียภาษีดังนั้นการขอคืนภาษีได้บางส่วน
(ผมจะบอกว่ามีแนวคิดอย่างไรในบทความหน้า ซึ่งคือแนวคิดเดียวกันกับ กรณีที่1) ในกรณีที่1 ขอคืนได้ 25% กรณีนี้จะขอคืนได้ 10%
เงินที่จะต้องใช้ก็คือ 6,000,000/1.1 = 5.45 ล้านบาท
แล้วจะมีวิธีใดบ้างที่ใช้เงินน้อยกว่า5.45ล้านบาทแล้วได้ปันผล 240,000 บาทต่อปี
โดยส่วนตัวผมเองได้เงินปันผลจำนวนนี้มานานแล้วครับก็ด้วยการวางแผนให้ดี
ผมจะยกตัวอย่างให้ดูนะครับว่าเงินที่ใช้จะลดลงแค่ไหน ผมจะยกตัวอย่างในกรณีที่1 เป็นพอร์ตแฟนผมซึ่งไม่ได้ทำงานจึงขอภาษีได้เต็มที่
(แม้แต่อาของผมที่มีบำนาญประมาณ30,000 ต่อเดือนก็ยังสามารถขอภาษีคืนได้เป็นจำนวนมาก)
แนวคิดนั้นก็ได้แก่
แนวคิดที่1 วางแผนการได้เงินปันผลจำนวน 2.4แสนต่อปีแต่เนินๆ
ปกติแล้วกิจการที่ดีจะมีการเพิ่มขึ้นของเงินปันผลทุกๆปี
เช่นหุ้น sis ที่ผมถือมานาน ข้อมูลด้านล่างคือการจ่ายเงินปันผล
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์
ผมเริ่มเข้าซื้อหุ้น sis ในปี 2014 และหาจังหวะซื้อเพิ่มเมื่อหุ้นมีราคาตกลง
ถือจนถึงปี 2021 ด้วยต้นทุนเฉลี่ย 4.5
บาทต่อหุ้น(โดยประมาณ และนักลงทุนมีโอกาสซื้ออยู่หลายครั้งที่หุ้นมีราคาช่วง
4-6 บาทในระหว่างปี 2014-2020)
ถ้าผมต้องการเงินปันผลตามกรณีที่1 เราก็จะต้องถือหุ้นจำนวน
192,000 หุ้นไว้ในปี 2021(กำไรของบริษัทในปี2020
จะถูกจ่ายเงินปันผลในปี 2021 เป็นจำนวน
1 บาทต่อหุ้น) ถ้าเราซื้อในปี 2021
ที่ราคา 30
บาทต่อหุ้น ก็จะใช้เงิน5.76 ล้านบาท
แต่ถ้าสะสมซื้อเหมือนอย่างผมทำมาตั้งแต่ปี 2014
ก็จะใช้เงิน 192,000x4.5 = 864,000 บาท
เท่านั้นเองครับและระหว่างนี้ก็ได้เงินปันผลทุกปีด้วยเราสามารถนำเงินปันผลกลับมาซื้อหุ้นเพิ่มได้
แต่นี้เป็นการเขียนสิ่งที่เกิดขึ้นมาแล้วมันดูง่ายไปหน่อยเพราะใครๆก็พูดได้
เราควรจะมาพูดถึงว่า “แล้วตอนนี้ถ้าจะทำแบบนั้นทำยังไง? “ ผมจะแยกบทความนี้ออกไปต่างหากครับ
และขอบอกก่อนว่าในปัจจุบันราคาหุ้นไทยนั้นแพงมากพอสมควรการจะได้เงินปันผลดีต้องมีกลยุทธที่ดีครับ
แนวคิดที่2 เลือกลงทุนในต่างประเทศ
แนวคิดนี้ต้องการหนีจากประเทศไทยที่การเติบโตทางเศรษฐกิจต่ำและราคาหุ้นแพง
ผมขอยกตัวอย่างประเทศฮองกงขอใช้ตัวย่อเป็น HK
ซึ่งเป็นพอร์ตการลงทุนของผมและจากประสบการณ์การลงทุนโดยตรง
เงินปันผลดีๆที่ผมได้รับจากหุ้นที่ผมซื้อใน
HK มีตั้งแต่ 8%-15% ขึ้นอยู่กับธุรกิจ แต่ปัจจุบันเราสามารถหาหุ้นที่ปันผลระดับ 6-7% ได้และมีปันผลที่เติบโตได้
นอกจากนี้ยังมีหุ้นที่ผมซื้อล่าสุดไป(ผมใช้เงินไม่มากในการซื้อหุ้นตัวนี้)มีอัตราเงินปันผลที่
9.7% แต่มันอาจจะมีปันผลในแต่ละปีไม่สม่ำเสมอผมจึงเลือกซื้อแบบเล็กน้อย
และผมไม่ชอบหุ้นที่คาดการณ์ไม่ได้
ผมเน้นไปที่ธุรกิจด้านการจัดการทรัพยากรณ์ด้านสิ่งแวดล้อมซึ่งมีสัญญากับภาครัฐบาลจีนระยะยาว
ผมจะยกตัวอย่างถัดไป
หุ้นประกันภัยชื่อหุ้น PICC GROUP ราคาหุ้นตอนนี้คือ $2.65
มีการจ่ายเงินปันผลในปีที่ผ่านมาที่ $0.1871 ต่อหุ้น
หรือคิดเป็น 7.06% แต่นั้นไม่ใช่ประเด็นที่ผมชี้ให้ดู
ประเด็นอยู่ที่บริษัทสามารถจ่ายเงินปันผลเพิ่มได้ทุกๆปี ตามรูปด้านล่างครับ
ตัวเลขที่อยู่บนกราฟแท่งเป็นอัตราการจ่ายเงินปันผลต่อหุ้นในแต่ละปี
อย่างไรก็ดี หุ้นตัวนี้ก็ยังไม่ใช่หุ้นที่ผมลงทุนเยอะที่สุดหรือให้ความหวังมากที่สุด
ผมจะยกตัวอย่างหุ้น China Everbright Environment
Group เป็นหุ้นหลักของผม ราคาหุ้นตอนนี้ 4.28
มีอัตราเงินปันผลในปีล่าสุดอยู่ที่ 7.01% หรือ $0.3 ต่อหุ้น(ไม่เสียภาษี ณ ที่จ่ายด้วยครับ ได้รับเงินเต็มๆ)
และมีแนวโน้มว่าจะได้รับเงินปันผลเพิ่มในปีถัดๆไปจากงานในมืออีกจำนวนมาก
และเนื่องจากโครงการของบริษัทเป็นสัญญาระยะยาว (20-50ปี)
ทำให้ผมสบายใจที่จะลงทุนในหุ้นเหล่านี้ไปอีก 10 ปีได้เลย
เมื่อแนวคิดนี้เราจะหวังว่าอีก
4 ปีข้างหน้าเราจะมีเงินปันผลปีละ 240,000 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็น $57,800 (เหรียญฮองกง) ผมคาดว่าเงินปันผลที่จะได้รับจากหุ้นตัวนี้จะอยู่ราวๆ
$0.51 ต่อหุ้น
เราจะใช้จำนวนหุ้น 57,800/0.51 = 113,334 หุ้น เมื่อนำไปคูณราคาหุ้นก็จะได้เงินลงทุน $485,070
คิดเป็นเงินไทยอยู่ทึ่ 2.01 ล้านบาท ถือว่าไม่มากนักครับ
แนวคิดที่3
ซื้อหุ้นที่มีปันผลสูงกว่านี้อีก
แนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่ทำให้เราได้เงินปันผลสูงทันที
แต่จงจำไว้ว่าต้องหุ้นบริษัทที่เรามั่นใจได้ว่าบริษัทจะไม่ลดเงินปันผลลงในปีถัดๆไป
ซึ่งปัญหานี้เกิดจากบริษัทมีกำไรลดลงนั้นเองครับ
กรณีนี้ผมจะไม่กล่าวถึงในตอนนี้เพราะผมเองก็มีหุ้นพวกนี้จำนวนน้อยมากและไม่แนะนำวิธีนี้ครับ
ผมจะให้เหตุผลในเรื่องนี้ในบทความถัดๆไป
แนวคิดที่4 ลงทุนในไทยแต่ต้องใจเย็น
ในเมื่อหุ้นไทยยังแพง
สิ่งที่เราจะทำได้คือรอ ในระหว่างนี้เราต้องศึกษาหุ้นให้ดี
กรณีนี้ผมจะนำมาเขียนบทความเพื่อแนะนำวิธีการอีกทีครับเพราะมันเป็นวิธีการที่ต้องอาศัยทักษะที่สูงขึ้นไปอย่างมาก