Wednesday, September 12, 2018

กำไรเพิ่มขึ้นได้อย่างไร

กำไรในอนาคต

หากเราสามารถคาดเดากำไรในอนาคตได้ เราก็สามารถคาดเดาราคาหุ้นได้ว่าจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นหรือลดลงจากปัจจุบัน(แม้ว่าบางครั้งราคาหุ้นอาจจะไม่สอดคล้องกับผลประกอบการในระยะสั้น แต่ระยะยาวมันจะสะท้อนผลประกอบการเสมอ)
ผมขอนำเนื้อหาในหนังสือ one upon wall street ซึ่งมี 5 ประการที่จะทำให้กำไรของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นได้ และผมก็จะเขียนเพิ่มเพื่อขยายความหมายนอกเหนือจากที่หนังสือเข้าเอาไว้

1. ต้นทุนลด
ต้นทุนนั้นประกอบด้วยต้นทุนด้านวัตถุดิบในการผลิต หรืออาจจะเป็นต้นทุนทางการเงินสำหรับธุรกิจ finance สาเหตุที่บริษัทจะมีต้นทุนที่ลดลงก็ได้แก่ มีอำนาจต่อรองกับผู้ขายมากขึ้นโดยเกิดจาก supply สินค้าดังกล่าวมีมากขึ้นในตลาด, การซื้อเป็นจำนวนมาก, demand ลดลงผู้ซื้อมีตัวเลือกมากขึ้น
ส่วนในแง่ของต้นทุนบริหารเช่น การใช้กำลังการผลิตที่สูงขึ้นทำให้ผ่านจุดคุ้มทุน(break even point)
การมีต้นทุนลดลงเนื่องจากขนาดของกิจการมีขนาดใหญ่ขึ้นที่เราเรียกว่า economies of scale เพราะจะมีการใช้ทรัพยากรบางอย่างร่วมกัน ตัวอย่างเช่นการเปิดกิจการของ TK ในกัมพูชา เริ่มต้นในช่วงแรกๆค่าใช้จ่ายต่างๆก็มาจาก ค่าเช่าอาคาร, ค่าน้ำค่าไฟ, อุปกรณ์สำนักงาน,ค่าแรง อื่นๆอีกมากมาย แต่รายได้จากการเช่าซื้อยังไม่มา เป็นผลให้ในปีแรกของการดำเนินงานประสบปัญหาขาดทุน แต่เมื่อปล่อยสินเชื่อถึงจุดหนึ่งที่ทำให้ไม่ขาดทุนส่วนที่ปล่อยสินเชื่อเพิ่มจากตรงนี้จะเข้ามาเป็นกำไรเกือบทั้งหมด ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นในอัตราเร่งตัวเป็นการใช้ทรัพยากรร่วมกันของฝ่ายดำเนินงานทำให้ประหยัดเพระาขนาดใหญ่ขึ้น
2. การขึ้นราคาสินค้า
สาเหตุที่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้แก่ demand เพิ่มสูงขึ้นมากกว่า supply, ต้นทุนสินค้าเพิ่มขึ้นจึงส่งต่อภาระนี้ให้แก่ผู้ซื้อ, มีข้อตกลงตามสัญญา เป็นต้น
แต่หลายครั้งเราจะเห็นว่าการขึ้นราคาสินค้าอาจจะไม่ได้ทันทีหรือทำไม่ได้เลยเพราะมีการกำหนดราคาไว้ล่วงหน้า ไม่มีอำนาจต่อรองเพราะกลัวเสียฐานลูกค้าให้กับคู่แข่ง
ดังนั้นต้องดูว่าอำนาจต่อรองว่าใครมีมากกว่ากัน
3.ขยายเข้าสู่ตลาดใหม่หรือการซื้อกิจการที่มีกำไร
การขยายเข้าสู่ตลาดใหม่ๆอาจจะเป็นการเข้าไปชิงส่วนแบ่งจากผู้ขายรายเดิม หรือการขยายไปยังตลาดที่ยังไม่มีสินค้าดังกล่าวขายอยู่เดิม
การซื้อกิจการ อาจจะทำให้รายได้เพิ่มสูงขึ้นมากในวันที่เข้าซื้อหากกิจการเดิมมีกำไรอยู่แล้ว ก็ให้พิจารณาเป็นการซื้อด้วยเงินสดหรือการกู้ ให้นำกำไรที่ได้หักกับต้นทุนทางการเงินก็จะได้กำไรสุทธิที่จะนำเข้ามาไว้ในงบการเงิน ส่วนประโยชน์อื่นๆของการซื้อกิจการก็เช่นการขยายช่องทางจำหน่าย การลดคู่แข่ง การประหยัดเพราะขนาดที่ใหญ่ขึ้น เป็นต้น
4.ขายสินค้าในตลาดเดิมมากขึ้น
เช่นยอดขายของ 7-11 สาขาเดิมเติบโตจากการขึ้นราคาสินค้า(ตามอัตราเงินเฟ้อ), การเพิ่มสินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาด, สภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปมีการสร้างคอนโดขนาดใหญ่ใกล้ๆกับร้านเดิมเป็นต้น

5.ฟื้นฟูหรือปิดกิจการหรือขายกิจการที่ขาดทุน

wiko ในฐานะบริษัทร่วมถือหุ้นโดย SIS 45% เริ่มมีกำไรในปี 2559 ก็ทำให้งบการเงินรวมดีขึ้นมา โดยในปี 2558 ส่วนแบ่งขาดทุนที่ sis ต้องแบกรับอยู่ที่ 83 ล้านบาท
CPALL ขาดทุนใน Lotus บริษํทร่วมในประเทศจีน แต่เมื่อมันขาด 7-11 ออกไป ก็ทำให้กิจการมีกำไรที่เติบโตจาก 7-11 ในประเทศไทยชัดเจน

Tuesday, July 10, 2018

โอกาสในการซื้อหุ้น

ในช่วงเดือน พค-ต้นกค หุ้นได้ตกลงจาก 1800 มาอยู่ที่ 1600 โดยประมาณ ผมมีหุ้นที่จะแนะนำและวิธีการรับมือกับตลาดหมี

- ให้ลองนึกดูในตอนที่หุ้นเป็นขาขึ้น เรามักจะอยากย้อนเวลาเพื่อมาซื้อหุ้นในราคาถูก แต่เมื่อหุ้นลงมาจริงๆเรากลับกลัวและไม่แน่ใจว่ามันจะกลับไปจุดเดิมได้หรือเปล่า

- โอกาสการซื้อหุ้นก็เกิดจากการที่หุ้นลดลงนั้นแหละ แต่เมื่อมันลงมามากๆเราก็กลัวว่ามันจะลงไปอีก เรากลัวว่าหุ้นที่เราซื้อจะมีต้นทุนที่แพงกว่าคนอื่นที่ซื้อหลังเรา แต่ผมจะแนะนำว่าถ้าราคาหุ้นที่ลงมานั้นเป็นราคาที่เราพอใจให้ซื้อไปเลยครับ อาจจะแบ่งเงินออกเป็น 5 ส่วนเพื่อกำหนดช่วงระยะเวลาการซื้อคล้าย DCA แต่เป็นการทำ DCA แบบชั่วคราวเมื่อหุ้นลดต่ำลง (เราจะไม่ทำ DCA ในช่วงหุ้นเป็นขาขึ้น เพราะจะเสียเปรียบเรื่องต้นทุนที่สูงขึ้น)

- การเลือกหุ้นนั้นสำคัญมาก หากเราเลือกหุ้นที่มันไม่อาจดำเนินธุรกิจให้มีกำไรเติบโตในอีก 5 ปีได้การซื้อหุ้นในราคาถูกก็ไม่มีประโยชน์อะไร หุ้นที่มันไม่เติบโตก็รอวันตายได้เลย ดังนั้นต้องดูโครงสร้างของรายได้และกำไร ให้ดูเรื่องรายได้ก่อนว่ามาจากไหนบ้าง สินค้ายังเป็นที่ต้องการของตลาดหรือไม่และจะมีความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นหรือไม่ อิ่มตัวแล้วหรือยัง แล้วคู่แข่งเป็นอย่างไร โดรงสร้างการเงินเป็นอย่างไรบ้าง (ในข้อนี้ยาวพอสมควรผมจะไม่กล่าวเพิ่มเติม)

- การซื้อหุ้นที่ยังดำเนินกิจการไปอีกหลายปีผมขอเปรียบเทียบกับการซื้อบ้านหรือคอนโดให้เช่า ถ้าเราซื้อบ้าน 1 หลังราคา 100,000 บาทมีค่าเช่าสุทธิ 10,000 บาทต่อปี คิดเป็นผลตอบแทน 10% ปี ต่อมาหากมีคนอื่นมาขายบ้านแบบเดียวกันนี้ในราคา 80,000 บาท และ50,000 บาท เราควรดีใจเพราะค่าเช่านั้นเท่าเดิมแต่ราคาต้นทุนในการซื้อถูกลง ทำให้การซื้อหลังที่ 3 จะได้ผลตอบแทน 20% ต่อปี แต่ถ้าเราซื้อในราคา 200,000บาท ผลตอบแทนเราก็จะเหลือเพียง 5% ต่อปีเท่านั้น
เรื่องนี้ตลาดกลับละเลยเมื่อนำมาใช้กับหุ้น ดังนั้นเมื่อหุ้นมีราคาลดลงผลตอบแทนจะสูงขึ้น แต่การลดลงของหุ้นต้องลดลงในเปอร์เซนต์ที่เยอะพอที่จะซื้อแล้วมีผลกำไรทั้งเงินปันผลและ capital gain

- ซื้อหุ้นคุณภาพดีในราคายุติธรรมดีกว่าการซื้อหุ้นธรรมดาในราคาถูก อันนี้ผมได้มาจาก warren buffet หรือจะตีความได้ว่าการซื้อหุ้นคุณภาพดีแม้ว่าจะซื้อตอนที่มันเต็มมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป 10 ปีผลตอบแทนทบต้นจะทำให้กิจการมีมูลค่าสูงขึ้นไปเร็วมากเหมือนดอกเบี้ยอัตรา 25% ต่อปีทบต้น ส่วนหุ้นคุณภาพธรรมดาแต่ราคาถูกหรือมีปันผลสูงการเติบโตใน 10ปีอาจจะไม่มีหรือมีน้อยมากหากมีผลตอบแทนรวม 10% ทำให้ระยะยาวมันก็แพ้หุ้นคุณภาพดีได้
ผมขอยกตัวอย่างหุ้น A มี EPS 1.25 บาท/หุ้น มีราคาซื้อขาย 10 บาทหรือคิดเป็น P/E 8 เท่าไม่มีการปันผลและมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 12% ต่อปีต่อเนื่อง 10 ปี
หุ้น B มี EPS 1.25 บาท/หุ้น มีราคาซื้อขาย 31.25 บาทหรือคิดเป็น P/E 25 เท่าไม่มีการปันผลและมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 25% ต่อปีต่อเนื่อง 10 ปี
ใน 10 ปีต่อมาหุ้น A จะมี EPS 3.88 ส่วนหุ้น B จะมี EPS 11.64 หรือมีกำไรต่อหุ้น 3 เท่าของหุ้น A

ต่อไปเป็น 1 ในหุ้นที่ผมแนะนำตัวเองให้ซื้อและมีเหตุผลหลักๆ

BA 

หลักคิดในการลงทุน
-  BA มี market cap. 26,250 ล้านบาท (ที่ราคาหุ้น 12.4 บาท)
- มีเงินลงทุนในหุ้นเกรด A อย่าง BDMS จำนวน 918,418,690 หุ้น คิดเป็นมูลค่าตามราคาตลาด 23,600 ล้านบาท (ที่ราคาหุ้น 25.75 บาท)
- มีเงินลงทุนใน SPF จำนวน 33% หรือคิดเป็น 7,300 ล้านบาทตามราคาตลาด (ที่ราคาหุ้น 23.3 บาท) ขอขยายความอีก SPF นั้นเป็นผู้ถือสิทธิการเช่าสนามบินจาก BA โดยมีระยะเวลาเช่า 30 ปีเริ่มตั้งแต่ปี 2549 - 2579 หมายความว่า BA คือเจ้าของสนามบินสมุยแต่ขายสิทธิให้กับ SPF เป็นเวลา 30 ปีและในปี 2579 ก็จะกลับมาเป็นของ BA 100%
- มีเงินลงทุนใน BAFS 9.5% หรือคิดเป็น 1983 ล้านบาท(ที่ราคาหุ้น 32.75 บาท) ได้ซื้อมาเมื่อเดือน พค. 2561
- มีเงินสดเพียงพอในการดำเนินกิจการ และมีหนี้เงินกู้ยืมเพียง 800 ล้าบบาท(ตามงบการเงิน Q1/2561) มีเงินสด 10,000 ล้านบาท(ยังไม่หกเงินที่นำไปซื้อ BAFS)
เหตุผลที่ผมสนใจซื้อ BA เพราะจะได้ธุรกิจเกรด A อย่าง BDMS และ สนามบินสมุย (อีก 18 ปีก็จะถูกโอนคืนให้กับ BA 100% ) ส่วนธุรกิจหลักคือสายการบิน Bangkok Airways ผมไม่สนใจเท่าที่ควรครับเพราะการแข่งขันที่รุนแรง
- หากจะซื้อสายการบินจะมีให้เลือกในตลาดหุ้นคือ BA THAI NOK AAV ผมเลือก AAV ที่มีผลการดำเนินงานที่เป็นบวกทุกปีแม้ว่าคู่แข่งจะขาดทุนก็ตาม
- ผมได้ซื้อหุ้น BA ไป 2 รอบโดยต้นทุนเฉลี่ยของผมก็จะอยู่ที่ 12.4 บาทเท่ากับราคาปิดเมื่อวานพอดี

TK

เป็นหนึ่งในหุ้นที่ผมได้ซื้อเมื่อปี2016ทุนราวๆ 10.5 บาท และผมก็ได้ทยอยขายออกไปเรื่อยๆในช่วงที่หุ้นมีราคาสูงขึ้นไปที่ 18 บาทแต่ก็ไม่ได้ขายหมดนะครับ และผมก็กลับมาซื้อใหม่เมื่อราคาลดต่ำลงทำให้ต้นทุนของผมนั้นถูกลง ประเด็นที่น่าสนใจในการลงทุนใน TK คือ
- ราคาหุ้นอยู่ใกล้ๆกับ BV และราคานี้เมื่อเทียบกับ BV น่าจะต่ำสุดในรอบ 5 ปี
- ธุรกิจไม่เคยขาดทุนแม้ผ่านวิกฤต 2540
- D/E อยู่ในระดับต่ำที่สุดในตลาดที่ราวๆ 1 เท่า ฐานะการเงินอยู่ในระดับที่ดีมาก
- 2 ปีที่ผ่านมามีการขยายกิจการออกไปในต่างประเทศคือ ลาว กัมพูชา และในปีนี้คือพม่า ใน 2 ประเทศแรกเริ่มมีกำไรเข้ามาแล้ว และมีอัตราการเติบโตที่ดีมาก
- ปันผลต่อเนื่องทุกปีนับตั้งแต่เข้าตลาดหุ้นมา

ยังมีหุ้นที่น่าสนใจในการลงทุนสำหรับผมอีกก็คือ

BLA แต่น่าจะต้องรอไปอีก 2 ไตรมาสที่จะทำให้ผลกำไรของกิจการฟื้นตัวจาก Gov. Yield ปรับตัวสูงขึ้น ผมเคยซื้อตัวนี้ไปแล้วเมื่อเมษา2561 ราคาหุ้นก็ได้เพิ่มสูงขึ้นมาเกือบ 20% ภายในเวลาไม่นานก่อนที่มันจะกลับมาที่เดิม ผมก็ไม่ได้ขายหุ้นออกไปผมกำลังรอการฟื้นตัวของมันในปีหน้า

JAS เป็นตัวที่ผมเข้าซื้อ 3 รอบทำให้ต้นทุนผมเหลืออยู่ราวๆ 4.4บาท หากราคาเพิ่มสูงเกิน 5 บาทผมจะขายออกไป ตอนนี้มันก็มาใกล้แล้วผมจึงไม่คิดที่จะแนะนำอะไร

หุ้นดีๆก็มีเยอะในตลาดหุ้นแต่การซื้อหุ้นต้องเป็นหุ้นที่เรามีข้อมูลดีพอ เพราะจะทำให้เรารู้ว่าราคาหุ้นตรงไหนเหมาะสมกับการลงทุนและราคาไหนที่เหมาะแก่การทะยอยขายออกไป หากไม่ได้คิดตามและวิเคราะห์มาอย่างดีก็ไม่อาจจะแนะนำให้ตัวเองซื้อหรือขายได้ในระดับที่มีนัยสำคัญ และควรให้น้ำหนักการลงทุนในแต่ละตัวไม่เกิน 25% ของพอร์ตการลงทุน

ก่อนไปผมฝากไว้ว่าการลงทุนในตลาดหุ้นหากตั้งใจและทุ่มเทจริงผลตอบแทนก็จะทำได้ดีในระยะยาว เมื่อเพื่อนคนหนึ่งรู้จักกันมากว่า 20 ปีได้ให้เงินผมมา1ล้านให้ผมช่วยซื้อขายให้ เพื่อหวังว่าจะเป็นพอร์ตตัวอย่างให้แก่เพื่อนๆนักลงทุนและเขาเองก็จะได้ผลตอบแทนตามที่ผมออกแบบไว้ แต่มันก็จะไม่เหมือนพอร์ตของผมเท่าไหร่เพราะเวลาในการเริ่มลงทุนและจำนวนเงิมไม่เหมือนกัน
ผมได้เงินมาในเดือนมีนาคม 2561 เป็นช่วงที่ดัชนีค่อยข้างสุงแต่ผมก็ทำผลตอบแทนเป็นบวกได้
หุ้นที่ถือครองและต้นทุนเฉลี่ยมีดังนี้(ก็มีขายไปบางส่วน)
ส่วนผลตอบแทนตามโปรแกรมของ itracker ของโบรกเกอร์บัวหลวงก็ตามนี้ครับ ยังเป็นบวกอยู่แม้ว่าดัชนีติดลบไปกว่า 8.68%

หวังว่าคำแนะนำนี้จะเป็นประโยชน์ในการพิจารณาการลงทุนต่อไปครับ

ผมพยายามทำ VDO มาหลายวันแล้วครับแต่ไม่สำเร็จมีปัญหาเรื่อง software ที่ใช้ทำ และตัวเครื่อง notebook ที่ทำงานช้า ตอนนี้ได้สั่งซื้อ SSD มาแล้วคงได้ทำในเสาร์อาทิตย์ที่จะถึงนี้