Thursday, December 5, 2019

Q3/2562

ในความเห็นผมเรื่องการลงทุนในสภาพปัจจุบัน ผมเห็นว่าระดับของราคาหุ้นเมื่อเทียบกับการนำเงินไปลงุทนอย่างอื่นอยู่ในช่วงที่น่าซื้อ ในขณะที่การฝากเงินหรือการซื้อพันธบัตรมีดอกเบี้ยไม่เกิน 3% แต่ผมเชื่อว่าหุ้นที่ได้เลือกไว้จะมีผลตอบแทนราวๆ 8% ขึ้นไป แต่ถ้าหากใครมีช่องทางการลงทุนที่ดีกว่าก็อื่นเรื่อง
ข้อมูลที่เขียนในวันนี้ก็จะสั้นถึงสั้นมาก เพราะใน email ฉบันก่อนๆนั้นได้ใส่ข้อมูลที่เป็นสาระสำคัญไว้ดีแล้ว และหากนำมาต่อกันก็จะเข้าใจในกิจการมากขึ้น

SIS

อยู่ในระดับราคาที่เหมาะสมกับการลงทุน ระดับ ROE ที่เกิน 15% และราคาหุ้นไม่สูงมากหายากในตลาดหุ้นไทย



กราฟรายปีในปี 2562 เป็นข้อมูล 9 เดือน

TK


บริษัทยังคงขยายกิจการในประเทศเพื่อนบ้านอย่างต่อเนื่องทำให้การเติบโตในต่างประเทศเป็นไปอย่างรวดเร็ว ส่วนในประเทศยังคงมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจทำให้บริษัทชลอการปล่อยสินเชื่อเพื่อรักษาคุณภาพของลูกหนี้ ในปีหน้าจะมีการปรับมาตราฐานบัญชีใหม่คงต้องรอดูเรื่องการสำรองหนี้เสียซึ่งจะมีผลกระทบตอกำไร
กราฟรายปีในปี 2562 เป็นข้อมูล 9 เดือน

BLA


ในราคาที่ต่ำกว่า BV หุ้นจะให้ผลตอบแทนในระยะยาวที่ดี แม้ว่าดอกเบี้ยจะต่ำ แต่การปรับตัวของธุรกิจประกันชีวิตก็ต้องทำกันทุกบริษัท และผลตอบแทนระดับ ROE ที่ต่ำกว่า 10% ก็คงไม่มีบริษัทไหนต้องการจะทำ ผลกระทบต่างๆไม่ใช่เกิดกับ BLA เจ้าเดียว ดังนั้นทุกๆบริษัทก็จะเน้นไปที่ความคุ้มครองมากกว่าที่จะเป็นการออมทรัพย์

กราฟรายปีในปี 2562 เป็นข้อมูล 9 เดือน
ดูข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://100instock.blogspot.com/2019/11/q32562-bla.html

THRE


หุ้นรับประกันภัยต่อ บริษัทได้มีการขาดทุนในโครงการรับประกับใน1-3ปีที่ผ่านมาจำนวนพันกว่าล้านบาท ทำให้บริษัทเริ่มมีกำไรในปีนี้ และยังมีขาดทุนในโครงการดังกล่าาวในปีนี้อีก 130 ล้าบบาท มูลค่าซื้อขายกันที่ 0.71 เท่า(ในราคา 0.62บาท/หุ้น)
กราฟรายปีในปี 2562 เป็นข้อมูล 9 เดือน


STANLY


รายได้และกำไรทำ new high  รวมถึงเงินสดที่ยังมีเหลือถือ 3.5พันล้านบาท หรือ 40 บาทต่อหุ้น ทำให้บริษํทพร้อมที่จะรับมือกับขาลงของเศรษฐกิจได้ และบริษัทยังคงได้รับ order ใหม่ๆ แต่ก็ชดเชยกับภาพรวมของอุตสาหกรรมรถยนต์ที่มีการลดกำลังการผลิตอย่างมาก
ดูเพิ่มเติม https://100instock.blogspot.com/2019/12/q32562-stanly.html
กราฟรายปีในปี 2562 เป็นข้อมูล 9 เดือน

IFS


หุ้นที่มีรายได้และกำไรเสม่ำเสมอ ผมเชื่อว่าการซื้อราคาแถวๆ BV จะสร้างผลตอบแทนระยะยาวที่ดีกว่า 8% ตอปี



------------------------------------------------------------***
ผมขอแบะนำหุ้นจำนวนนี้ที่จะลงทุนเพิ่มเติมได้ หากเราไม่ลงทุนเงินสดก็ไม่ทำกำไร และในช่องนี้ผมเชื่อว่ากองทุนที่ลงทุนในประเทศก็ไม่ได้ผลตอบแทนดีอะไรเลย หากยอนหลังไป 5 ปีกองทุนในประเทศมีผลตอบแทนเฉลี่ยไม่เกิน 3% ต่อปีทบต้น แม้ว่าปีนี้จะเป็นปีที่กองทุนในประเทศทำได้ดีแต่การเพิ่มขึ้นของราคาหุ้นบางตัวมันผิดปกติ โดยปกคิแล้วหากราคาหุ้นเพิ่มเกินกว่าผลประกอบการไปมากๆมันจะเป็นแบบนี้ไปอีกไม่ได้และสุดท้ายผลประกอบการคือตัวสำคัญในการลงทุน ดังนั้นกองทุนเหล่านี้ก็จะมีผลที่ขึ้นๆลงๆและผมเชื่อว่ากองทุนจะทำได้ใกล้กับผลตอบแทนของ index เท่านั้น

หากเราไปมุ้งเน้นที่ราคาหุ้นเกินไปก็จะทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งของ "นายตลาด" ทั้งๆที่การลงทุนเราควรจะมองไปที่ผลประกอบการ และหุ้นที่ผมเลือกมาด้านบนก็มีผลประกอบการที่ดีและเหมาะสมกับราคาที่จ่ายไป
ผลตอบแทนของ warren ที่วัดผลออกมาก็ใช้ BV ซึ่งกำไรนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของ BV ที่สะสมเข้าไปเรื่อยๆนั้นเอง เพราะ warren ซื้อและถือยาวในระดับ 10 ปีขึ้นไป หากหุ้นตัวไหนที่ผลประกอบการไม่ดีและมีทิศทางของกิจการที่แข่งขันไม่ได้เขาก็จะขายหุ้นออกไป ส่วนหุ้นที่ยังมีผลประกอบการที่ดีเขาก็จะเก็บเอาไว้ และเอาเงินปันผลมาซื้อหุ้นเพิ่มไปเรื่อยๆ นั้นคือแนวคิดการลงทุนที่แท้จริง หากเราหวังกับราคาหุ้นและยึดติดกับมันก็จะทำให้เราหลุดจากหลักการและสับสนเมื่อหุ้นที่ยังมีกำไรที่ดีมีราคาลดลงและความกลัวก็จะเขามาในจิตใจเรา หากราคาหุ้นลดลงนั้นก็จะเป็นการเพิ่มผลตอบแทนในการลงทุน


Sunday, December 1, 2019

Q3/2562 หุ้น STANLY



กราฟด้านบนแสดงผลประกอบการ ประกอบด้วยรายได้ กำไร และอัตรากำไรสุทธิ
โดยกราฟแรก แสดงเป็นรายปี จะเห็นว่าบริษัทมีรายได้และกำไรต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา และในไตรมาสล่าสุดแม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะลดกำลังการผลิต บริษัทก็ยังทำรายได้และกำไรเป็นจุดสูงสุดใหม่
บริษัททำธุรกิจผลิตหลอดไฟ และโครมไฟของรถจักรยานยนต์และรถยนต์ สามารถดูข้อมูลได้ที่ http://www.thaistanley.com/wp-content/uploads/2019/08/1_Stanley-56-1_All_TH.pdf

จุดที่ควรพิจารณาสำหรับบริษัทนี้คือ

- มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ และในปีที่ผานมาบริษัทจ่ายปันผลในอัตรา 8.25 บาท/หุ้นสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา โดยการจ่ายปันผลจะอิงกับผลประกอบการ และจะจ่ายในอัตรา 32% ของกำไรสุทธิ ดูข้อมูลได้จาก https://www.jitta.com/stock/bkk:stanly/factsheet
- บริษัทมี market cap. 13,792 ล้านบาท ที่ราคาหุ้น 180 บาท และมีเงินสดและเทียบเท่าเงินสดที่ไม่จำเป็นในการดำเนินกิจการ 3,536 ล้านบาทหรือคิดเป็น 46.14 บาทต่อหุ้น โดยในไตรมาสก่อนบริษัมีเงินสดมากกว่านี้แต่ได้นำไปลงทุนขยายกิจการในโรงงานแห่งที่ 8 ทำให้ปีหน้าจะมีรายได้จากโรงงานแห่งใหม่เข้ามา
- ในช่วงนี้คำสั่งซื้อลดลงตามยอดขายรถยนต์ แต่บริษัทก็ยังได้รับคำสั่งซื้อใหม่ๆเข้ามาชดเชย


ที่มา https://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=STANLY&ssoPageId=5&language=th&country=TH

- บริษัทมี ROE อยู่ที่ 20% เมื่อปรับแก้ด้วยการตัดเงินสดอิสระออกไป
- บริษัทซื้อขายกันที่ 0.85 เท่าของมูลค่าทางบัญชี ต่ำสุดตอลดกาล
- ระดับเงินปันผล 4.58% ถือว่าเป็นอัตราที่ดีมาก
- ในปีนี้บริษัทได้สำรองผลประโยชน์พนักงาน(ตามกฎหมายใหม่)ราวๆ 80 ล้านบาทในไตรมาสก่อน
- รถยนต์ไฟฟ้า EV จะมีผลกระทบต่อบริษัทก็ต่อเมื่อ บริษัทต่างๆย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ หากบริษัทรถยนต์ยังคงผลิตในประเทศไทย บริษัทก็ยังคงได้รับคำสั่งซื้อเช่นเดิม ปัญหานี้ควรอยู่ที่รัฐจะต้องดำเนิการแก้ไขและปกป้องอุตสาหรรมรถยนต์ในประเทศไว้ให้ได้ เพราะหากให้นำเข้าจากจีนด้วยอัตรารภาษี 0% คาดว่าปัญหาคงมีแน่นอน เพราะตอนนี้ไทยยังไม่ได้สร้าง eco system ในด้าน EV เลย ในขณะที่จีนไปไกลมาก
- บริษัทมีรอบงบการเงินในเดือน มีนาคม (บริษัทส่วนใหญ่จะปิดงบการเงินที่เดือนธันวาคม )
ส่วนตัวผมได้ซื้อหุ้นตัวนี้เพิ่ม และเชื่อว่าด้วยฐานะการเงินที่ดีของบริษัทก็จะทำให้บริษัทสามารถสร้างผลกำไรในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้นได้

Wednesday, November 27, 2019

ธรุกิจโรงเรียน SISB ในไทย VS Mable leaf ในจีน


SISB บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) vs (1317)China Maple Leaf Educational Systems Limited



ในตารางได้แสดงให้เห็นถึงความแพงของ SISB หุ้นที่อยู่ในตลาดหุ้นของไทย ทั้งๆที่เราไม่ควรจะซื้อหุ้นโรงเรียนในราคาระดับ 5.12 เท่าของมูลค่าทางบัญชีเลย หรือ P/E สูงถึง 48 เท่าโดยไม่ได้มีการเติบโตที่ต่อเนื่องในระดับสูง(มากกว่า 30%)ไปอีกหลายปี
ในขณะที่หุ้นอย่าง Maple leaf นั้นมีราคาสมเหตุผลมาก ลองดูข้อมูลเบื้องต้นตาม link นี้ https://www.mapleleafschools.com/corporate/overview/investor-introduction/
จะเห็นได้ว่าบริษัทนี้น่าสนใจมากที่จะเข้าซื้อลงทุน
ผมเป็นคนชอบธุรกิจการศึกษาอยู่แล้วครับ แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสนใจในการลงทุนในหุ้นตัวนี้ คิดว่าถ้าหุ้นอยู่ซัก $2.20 HK ก็จะซื้อเอาไว้หน่อย
ข้อมูลวันนี้ที่ผมบันทึกเพื่อแสดงให้เห็นว่าหุ้นไทยนั้้นแพงเกินกว่าที่จะลงทุนและได้ผลตอบแทนที่ดีได้ และเราก็มีทางเลือกในการลงทุนในต่างประเทศได้ นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ผมไม่เน้นการลงทุนในประเทศอีกต่อไป

แนะนำหุ้นใน Q3/2562 BLA

ผมจะทำการ update หุ้นที่ผมได้ศึกษาและสนใจมาลงราวๆ 5-6 ตัว และจะหุ้นที่จะมีผลตอบแทนระยะยาว(>3ปี)ระดับ 7-10 %ต่อปี ขึ้นไป และบางตัวอาจจะระยะกลาง(1ปี)ที่หวังราวๆ 10% ขึ้นไป โดยหลักคือการวางแผนการเงินระยะยาวให้สำเร็จด้วยผลตอบแทนที่เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจในอีก 10 ปีของประเทศไทย รวมถึงเหตุผลที่ต้องขายหุ้นบางตัวออกไป

BLA

หุ้นตัวแรกที่ผมจะพูดถึงคือหุ้นประกันชีวิต
ราคาหุ้นได้ลดลงจากราคาที่ผมซื้อตอนแรกจาก 32 บาท เหลือต่ำสุดราวๆ 18 บาท ก่อนที่จะฟื้นตัวมาอยู่ที่ 22.40 บาท ผมเองก็ได้ซื้อหุ้นเฉลี่ยทำให้ต้นทุนเหลือ 27 บาท

ผลกระทบในเชิงของพื้นฐานธุรกิจที่ผ่านมาได้แก่
- การที่ดอกเบี้ยกลับจากกำลังเป็นขาขี้น กลายเป็นขาลง และตอนนี้ดอกเบี้ยได้กลับไปสู่ระดับต่ำสุดของไทย
- การเสียช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านธนาคารกรุงไทย โดย AIA ได้เขาไปจำหน่ายแทน
- การตั้งสำรอง LAT reserve อันเนื่องจากการลดลงของดอกเบี้ยในช่วงปี 2560(ราวๆนี้) ทำให้กระทบต่อกำไรของบริษัท อันเนื่องจากกรมธรรม์แบบออมทรัพย์
- การเติบโตของเศรษฐกิจไทยที่ดูเหมือนว่าจะโตช้าลงไปเรื่อยๆ และสังคมของประเทศจะเข้าสูงผู้สูงวัยในอีกราวๆ 10 ปีข้างหน้า จะทำให้การลงทุนลดลง รายได้ประเทศจะลดลงตามแรงงานที่น้อยลง แต่ต้องใช้เงินมากขึ้น


แต่ถ้าเรามองเรื่องผลประกอบการ ผลกำไรของบริษัทก็ไม่ได้ตกต่ำมากนัก โดยใน 9M2562 บริษัททำกำไรได้ 3,732 ล้านบาท คิดเป็น 2.19 บาทต่อหุ้น และคาดว่าในไตรมาสที่ 4 ของปีบริษัทบริษัทก็น่าจะทำกำไรได้อีกราวๆ 1,000 ล้านบาท ก็จะทำให้กำไรทั้งปีอยู่ราวๆ 4,700 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบปีที่แล้ว

ในตารางด้านบนจะพบว่าบริษัทมีระดับราคาซื้อขายกันเพียง 0.85 เท่าของ BV และมีปันผลระดับ 3.21% ถือเป็นระดับราคาที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่ IPO เมื่อเทียบในเชิง financial ratio 
ในการประชุมนักวิเคราห์บริษัทได้ให้ข้อมูลดังนี้
- เน้นสินค้าที่ทำกำไรดี (นโยบายบริษัทนับตั้งแต่งปี 2561 คือลดกรมธรรม์ออมทรัพย์)
- ขายผ่าน agent และขายผ่านช่องทางใหม่ bancassurance ผ่าน tisco bank และ siam smile
- เป้า ROI อยู่ในระดับ 4.3%
- ไม่ต้องสำรอง LAT หากดอกเบี้ยลดต่ำกว่า 1.5% (ส่วนตัวคาดว่า หากต่ำกว่า 1% อาจจะต้องตั้งสำรอง)
- กองทุน/สินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ระดับ 308% สูงกว่าเกณฑ์ที่ 140% 

ผมเชื่อว่าธุรกิจประกันชีวิตยังคงดำเนินกิจการไปได้และไม่ขาดทุน นับตั้งแต่เข้าตลดาในปี 2553(ดูกราฟด้านบน) บริษัทก็ไม่เคยขาดทุนเลยแม้แต่ปีเดียว และในช่วงปี 2559-2562 กำไรหรือรายได้จะไม่โตเพราะอัตราดอกเบี้ยเป็นขาลง แต่บริษัทก็ยังรักษากำไรในระดับ 5,000 ล้านต่อปีได้ ยกเว้นในปี 2560 ที่ต้องตั้งสำรอง LAT เป็นจำนวนมาก

ผมจะยังถือหุ้นตัวนี้ต่อไป แต่อาจจะไม่ได้ซื้อเพิ่มเพราะผมเน้นที่จะลงทุนในต่างประเทศเป็นหลักในขณะนี้ แต่ถ้าราคาต่ำกว่า 20 บาทอีกครั้งผมก็จะเอาเงินเดือนมาซื้อครับ และเห็นว่าหุ้นควรจะมีมูลค่าอย่างน้อยก็ 25 บาทครับ
ดาว์นโหลดบทวิเคราะห์จาก finansia

Saturday, November 9, 2019

การเปิดพอร์ตในต่างประเทศ


ตั้งแต่ผมได้ลง FB ก็ได้มีเพื่อนที่โทรคุยเพื่อขอคำแนะนำการเปิดพอร์ตต่างประเทศ ผมก็ได้แนะนำเขาไปทั้งการเปิดพอร์ตและชื่อหุ้นเป้าหมาย คนแรกก็เปิดไปแล้วที่หลักทรัพย์บัวหลวงและก็ได้ซื้อหุ้นไปเป็นที่เรียบร้อย 3 ตัว ก็เหมือนผมทั้ง 3 ตัว และอีกคนได้โทรมาคุยกับผมวันนี้ ผมได้พูดถึงอนาคตการลงทุนในประเทศให้เขาฟัง และแนวทางที่ผมจะทำในอนาคต
ผมเห็นว่าอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่จะเปิดพอร์ตการลงทุนในต่างประเทศ ผมมีข้อมูลดังนี้
ผมมีพอร์ตลงทุนในต่างประเทศ 2 พอร์ต แต่จะแนะนำโบรกเกอร์ DBS Vicker เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินไปเป็นสกุลเงินต่างประเทศได้ Rate ดีกว่าที่ SCBS แต่ไม่รู้ว่าที่ไหนดีที่สุด
ให้ไปที่ https://www.dbsvitrade.com/brokerpage/004/web/Overseas.html
ให้อ่านข้อมูลที่จำเป็นในการลงทุนต่างประเทศ และ ค่าธรรมเนียม รวมถึงภาษี
ผมจะสรุปข้อมูลที่สำคัญของโบรก DBS ดังนี้
- ซื้อขายหุ้นได้ 7 ประเทศ(น้อยกว่าโบรกอื่นๆ) Singapore, Hong Kong, USA, Canada, UK, Australia และ Japan
- ตลาด Hong kong, UK ไม่เสียภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับเงินปันผล กำไรจากการขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี
- เมื่อสมัตรแล้วต้องโอนเงินอย่างน้อย 2 แสนบาทเข้าพอร์ตเพื่อที่จะได้ password
- ระบบการซื้อขายยาก และไม่สะดวกเมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้นในไทย และถ้าจะดู streaming ต้องเสียเงินรายเดือน
- ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหุ้นขั้นต่ำในตลาดฮองกงอยู่ราวๆ 600 บาทต่อคำสั่งซื้อ (ไม่ใช่ต่อวันนะ)  สามารถรวมคำสั่งซื้อหุ้นตัวเดียวกันได้ ถ้าจะให้คุ้มค่ากับค่าธรรมเนียมในการซื้อขายนี้ควรซื้อตัวเดียวกันภายใน 1 วันอย่างน้อย 150,000 บาท แต่ถ้าซื้อแล้วขายภายใน 1 วัน ค่าธรรมเนียมขายก็อย่างน้อย 600 บาท/หุ้น

ต่อมาให้คลิกไปที่ "เปิดบัญชี" และกรอกข้อมูลการสมัคร (หากสงสัย และไม่แน่ใจให้โทร) เมื่อกรอกเสร็จก็โทรไปแจ้งที่บริษัท แต่ทางที่ดีควรโทรไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ที่เบอร์ 02-857-7799 ใช้เวลา 10 วันก็เปิดได้
แต่ถ้าใช้บริการ SCBS ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชม.

การลงทุนนั้นเป็นช่องทางในการรักษาเงินและแหล่งกระแสเงินสดสำหรับใช้ในอนาคต แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องทำกันได้ง่ายๆ มันมีความเสี่ยง เราก็ต้องมีความรู้ดีในการลงทุน ขยันในการอ่านงบการเงิน เรียนรู้เรื่องการเงินการบริหารในระดับที่ดี ภาษาอังกฤษก็ต้องได้ไม่งั้นก็อ่านรายงานไม่ได้ อย่าคิดอะไรง่ายๆนะครับ เล่นจริงเจ็บจริงได้จริง อายุเยอะแล้วเวลาในการแก้ตัวก็มีน้อยลง
สำหรับผมเลือกที่จะ ALL In ในหุ้นครับ



Wednesday, October 16, 2019

CHINA MEDICAL SYSTEM HOLDINGS LTD. (867)

หุ้นตัวที่ 3 ที่ผมซื้อในตลาดหุ้นฮองกง ชื่อย่อคือ CMS

ผมซื้อมาในวันที่ 12 กย 2562 ผ่านไป 1 เดือน 5 วัน หุ้นตัวนี้บวกมาแล้ว 13.5%
บริษัททำธุรกิจ R&D, ผลิตและจำหน่ายยา(กระจายสินค้า) โดยมีรายชื่อยาหลักๆดังนี้

Hirudoid เป็นยาที่ผมคุ้นเคย บริษัทไม่ใช่เป็นเจ้าของ license แต่เป็น sub-license
รายได้ที่ผ่านๆมาเติบโตได้ดีโดยเฉพาะช่วงก่อนปี 2017 บริษัทเติบโตประมาณ 30% ต่อปีติดต่อกันหลายปีมาก
ในขณะที่ผลงาน 6เดือนปี2019 ก็ยังเติบโตได้ดี
งบกำไรขาดทุน 1H2019 (ผมได้ตัดบางส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป)


แนวความคิดในการเลือกซื้อหุ้นตัวนี้คือ
1.การเติบโตในอดีต
2.ฐานะการเงินที่ดี
3.การจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกๆปี ซึ่งเป็นไปตามผลกำไรที่เพิ่มขึ้นของบริษัท
4.โดยหลักการลงทุนหุ้นใดที่ดีในอดีตและเป็นธุรกิจที่เข้าแข่งขันยาก ก็ถือว่าน่าสนใจและหากราคาไม่แพงก็สามารถซื้อลงทุนได้ แม้ว่าในอนาคตอาจจะไม่แน่นอน
5.การเติบโตราวๆ 30 % หากว่ากันโดยทั่วไปควรซื้อขายกันที่ P/E ราวๆ 25-30 เท่า แต่ผมซื้อได้ที่ P/E 8-9 เท่า ถือว่าเป็นการซื้อหุ้นในราคาที่ถูกมาก แต่ผมคาดไว้ว่าบริษัทจะมีการเติบโตลดลงเหลือปีละ 15% ซึ่งก็ยังถือว่าราคาที่ซื้อยังไม่แพง
6.การซื้อธรุกิจที่ไม่มีขายในไทย ในประเทศไทยไม่มีหุ้นที่วิจัย พัฒนาและขายยาโดยตรง ส่วนใหญ่เราจะผลิตได้เฉพาะยาธรรมดาสามัญ จึงถือเป็นการกระจายการลงทุน

ปัจจัยเสี่ยง
1.โดยส่วนตัวผมไม่สามารถเข้าถึงยาแต่ละตัวของบริษัทได้ว่ามีคุณภาพแค่ไหน และมีความสามารถในการแข่งขันได้ดีแค่ไหน ทำได้เพียงอ่านรายได้ประจำปี
2.นโยบายการควบคุมราคายาของจีน แต่จะเน้นไปที่ยาสามัญทั่วไป โดยสั่งซื้อยาจากส่วนกลาง(centralized drug purchse)ทำให้เกิดอำนาจต่อรองสูงขึ้น
3.อัตราแลกเปลี่ยนที่เงินหยวนของจีนมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อแปลงเป็นเงินไทยแล้ว ทำให้กำไรที่ได้รับ และสินทรัพย์ต่างๆของบริษัทลดลงเมื่อเทียบกับเงินที่เราได้ลงทุนไป
4.ความรู้ใน sector นี้ผมมีน้อยมาก เพราะไม่คุ้นเคยธุรกิจเนื่องจากในไทยไม่มีหุ้นพวกนี้ขาย ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเข้าถึงข้อมูลได้ต่ำ

PRICE HK$ 10.08
P/E 10.70 โดยประมาณ
Earning per Share RMB 0.83
Book Value per Share 3.37
Dividend per Share 0.38
MKT CAP HK$25.10B โดยประมาณ

Link to CMS



Friday, October 11, 2019

GENERTEC UNIVERSAL MEDICAL GROUP CO. LTD. (2666)



ผมได้ทำการเปิดพอร์ตใหม่กับ DBS Vickers และได้ซื้อหุ้น 3 ครั้งโดยมี 02666 เป็นการซื้อครั้งที่ต่อจากพอร์ตที่ SCBS ซื้อมาได้ไม่ถึง 7 วันก็เขียวดี แต่ผมตั้งใจจะลงทุนระยะยาว( 5 ปี)
ข้อมูลการเงินจะอยู่ในรูปของ RMB ถ้าในกราฟแสดง HK$ ก็ขอให้เข้าใจว่าเขียนผิด
โดยที่ 1 RMB ก็จะมีค่า 1.1HK$




หุ้นตัวนี้รายได้หลักมาจากธุรกิจ Healthcare leasing และส่วนที่เหลือมาจากธรุกิจ hospital operation




* After taxes and surcharges
(1) Return on total assets = profit for the year/average balance of assets at the beginning and end of the year;
(2) Return on equity = profit for the year or during the period attributable to the ordinary shareholders of the Company/ average balance of equity at the beginning and the end of the period attributable to the ordinary share holders of the Company;
(3) Net interest margin is calculated by dividing net interest income by average balance of interest-earning assets;
(4) Net interest spread is the difference between average yield of interest-earning assets and average cost rate of interest-bearing liabilities. Average balance of interest-earning assets is calculated based on the average balance of net lease receivables before provision as at each month end within the reporting year; average balance of interest-bearing liabilities is calculated based on the average balance of bank and other borrowings and lease deposits as at each month end within the reporting year;
(5) Net profit margin = net profit/income;
(6) Cost to income ratio = (selling and distribution cost + administrative expenses – provision for loans and accounts receivable)/gross profit.


 
(1) Debt ratio = total liabilities/total assets;
(2) Gearing ratio = interest-bearing bank and other borrowings/total equity;
(3) Current ratio = current assets/current liabilities;
(4) Non-performing assets ratio = balance of non-performing assets/interest earning net assets;
(5) Provision coverage ratio = provision for impairment of assets/balance of non-performing assets;
(6) Write-off of non-performing assets ratio = assets written-off/non-performing assets at the end of the previous year;
(7) Overdue ratio (over 30 days) is calculated based on net lease receivables which are more than 30 days overdue divided by net lease receivables.




(1) Interest income represents the interest income from finance lease business;
(2) Interest expense represents financing cost of capital for finance lease business;
(3) Average yield = interest income/average balance of interest-earning assets;
(4) Average cost rate = interest expense/average balance of interest-bearing liabilities;
(5) Net interest margin is calculated by dividing net interest income by average balance of interest earning assets;
(6) Net interest spread is the difference between average yield of interest-earning assets and average cost rate of interest-bearing liabilities


ในปี 2018 มี equity เพิ่มมากกว่ากำไร(และหักปันผลออกไป)จำนวนหนึ่งซี่งเกิดจากบริษัทย่อยได้ออก bond โดยเป็นชนิดที่ต่ออายุได้




ในปี 2015 บริษัทได้ equity เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากจาก IPO อยู่ในรูป RMB(ไม่ใช่ HK$)



รายได้และกำไรเติบโตต่อเนื่อง (อยู่ในรูป RMB ไม่ใช่ HK$)


กำไรต่อหุ้นและเงินปันผลต่อหุ้น(อยู่ในรูป RMB ไม่ใช่ HK$)


แสดงมูลค่า Book Value per Share โดยในปี 2015 มีการเพิ่มจำนวนหุ้นจาก 235.91 ล้านหุ้น เป็น  1,716.3 ล้านหุ้น


ต่อไปเป็นข้อมูล 1H2019

อาจจะเป็นภาพเป็นส่วนมาก