Wednesday, June 15, 2022

ในภาวะดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น เงินเฟ้อสูง และเศรษฐกิจไม่ดีควรลงทุนอย่างไร

ในภาวะดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น เงินเฟ้อสูง และเศรษฐกิจไม่ดีควรลงทุนอย่างไร

ผมอยากจะเล่าแนวคิดว่าผมจะมีวิธีรับมือกับขาขึ้นของดอกเบี้ย เงินเฟ้อสูง และเศรษฐกิจมีโอกาสถดถอย เผื่อใครจะนำไปใช้

ผมลงทุนในต่างประเทศมา 3 ปีเศษ และในนับตั้งแต่ต้นปี2565 พอร์ตผมขาดทุน 5-7% เมื่อคำนวณโดยนำเงิน dollar เฉพาะในส่วนที่ขาดทุนมาแปลงเป็นเงินไทย แต่ถ้านำมูลค่าการลงทุนทั้งหมดมาแปลงเป็นเงินไทยผมจะมีกำไรเนื่องจากการแข็งค่าของเงิน us dollar แต่ถ้านับตั้งแต่ลงทุนในตปท.มา3ปี ก็ถือว่ามีกำไรพอควรครับ และยังหวังว่าปีนี้จะกลับมามีกำไรได้

ผมถือครองสินทรัพย์ที่อยู่ในสกุลเงิน us dollar หรือเทียบเท่าซึ่งมีสัดส่วน 60% (เป็นหุ้นต่างประเทศ ) และถือครองเงินสด(ในรูปเงินบาท)อยู่ราวๆ 30% และถือหุ้นไทยอยู่ซัก 10% (ในรูปเงินบาท)

ดอกเบี้ยเป็นขาขึ้น สิ่งที่จะทำคือรอให้ดอกเบี้ยไทยขยับขึ้นไปซึ่งจะมีผลทำให้ราคาหุ้นได้ผลเชิงลบ แต่นี่ก็ยังไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่ผมจะเข้าซื้อ ผมจะรอปัจจัยผลประกอบการที่ชลอตัวเข้ามาผสม แล้วผมจะตัดสินใจซื้อหุ้นซึ่งผมเองก็จะเข้าซื้อราวๆปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า (รอให้ผลประกอบการแย่ๆเริ่มออกมา) รวมถึงผมอาจจะเข้าซื้อตราสารหนี้หรือพันธบัตรรัฐบาลแทนการถือครองเงินสดด้วย

เงินเฟ้อสูง ครั้งนี้อาจจะเป็นการเพิ่มขึ้นของเงินเฟ้อที่รุนแรงและบริษัทผู้ผลิตน้ำมันหรือก๊าซกลับไม่ได้มีแผนการเพิ่มกำลังการผลิตในจำนวนมาก รวมถึงบริการหรือสินค้าอื่นที่มีราคาแพงเช่นการขนส่งทางเรือก็ยังไม่เห็นสัญญาณที่ดี ผมคิดว่าเรื่องนี้มีปัจจัยหลักคือ การขาดทุนอย่างยาวนานของกิจการขนส่งทางเรือ(ในระดับเกือบ 10 ปีติดต่อกัน) ส่วนเรื่องน้ำมันและก๊าซ(รวมถ่านหินด้วย)เป็นเรื่องที่มองว่าต้นทุนการผลิตพลังงานต่อหน่วยนั้นจะสู้กับ wind/solar energy ไม่ได้ในอนาคตอันใกล้ (แต่ gas เองนั้นไม่ใช่คู่แข่งโดยตรงกับพลังงาน wind/solar และgas ยังคงมีอนาคต) ณ วันนี้ราคาไฟฟ้าต่อหน่วยที่ผลิตจากถ่านหินน่าจะแพงกว่า solar/wind ไปมากกว่า 5 เท่าแล้วมันบ่งบอกว่าอนาคตของโรงไฟฟ้าถ่านหินน่าจะไม่รุ่งเรืองอีกต่อไป แต่การที่ถ่านหินยังคงมีราคาที่แพงเพราะว่าในช่วง peak hour ต้องใช้พลังงานที่สามารถควบคุมได้อย่างถ่านหิน เพราะ wind/solar เอาแน่เอานอนไม่ได้ แต่เรื่องนี้จะจบลงได้หากพลังงาน hydrogen นั้นมีบทบาทมากขึ้นซึ่งผมเองก็เอาใจช่วยในธุรกิจนี้เพราะมันคือความหวังของโลกเราเลยครับ ผมเห็นว่าเงินเฟ้อจะทำลายเศรษฐกิจจากกำลังซื้อที่หดตัวรวมถึงดอกเบี้ยที่แพงขึ้น แต่อย่างไรก็ตามหลายๆธุรกิจนั้นมีความสามารถในการปกป้องเงินเฟ้อได้อย่างดี ผมยกตัวอย่างเช่นค่ารักษาพยาบาลและค่าการศึกษา จากประวัติศาสตร์ราคาของค่าบริการการรักษาและอันศึกษามีอัตราการเติบโตสูงที่สุดในเมื่อเทียบกับสินค้าให้บริการอื่นๆในรอบ100 ปี เพราะกิจการเหล่านี้สามารถส่งผ่านต้นทุนไปยังผู้บริโภคได้ตลอดเวลา ผมยังเห็นว่าเงินเฟ้อจะทำให้มีการกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจภายหลังที่เงินเฟ้อเริ่มผ่อนคลายลง ผมจะลงทุนในหุ้นในสัดส่วนที่มากที่สุดต่อไป(เกือบ 100% ของเงินลงทุนทั้งหมด ที่เหลือกำลังมองเรื่องของ property fund หรือ REIT ) การลงทุนในกิจการที่เหมาะสมป้องกันเงินเฟ้อได้อย่างดี

กลยุทธการลงทุนในหัวตอนนี้

หลักๆที่ผมจะทำตอนนี้ก็คือรอ ผมหวังจะเข้าซื้อหุ้นใน us และในไทย แต่ผมจะยังไม่ขายหุ้นใน HK ออกไป ราคาหุ้นที่ผมได้เหมาะสมที่จะลงทุนในระยะยาวกว่านี้ 

หลังจากที่ผมได้เริ่มลงทุนในต่างประเทศคือฮองกงมา3ปีก็ถือได้ว่าประสบผลสำเร็จเพราะส่วนใหญ่แล้วจะขาดทุนกัน ถึงตอนนี้ผมได้เริ่มลงทุนใน us และ ยุโรป ยังซื้อไม่ถึง3% ของพอร์ต สิ่งที่ผมจะซื้อเพิ่มได้แก่ 

- กองทุน s&p500 ผมเห็นว่าตอนนี้ดัชนีอยู่ในระดับพอลงทุนได้ ผมอยากลงทุนที่ 3,300 จุด มองว่าจะลงใน us รวม 5-10%

- หุ้นรายตัวใน us ผมยังคงรอซื้อหุ้นที่มีผลประกอบการดี ผมจะไม่เลือกซื้อหุ้นที่ขาดทุนพวก start-up (แต่ก็มี 1 ตัวในพอร์ตที่ธุรกิจยังขาดทุนคือ roblox ซื้อไว้น้อยมากๆและยังไม่เพิ่ม) ตอนนี้ผมยังนึกไม่ออกว่าจะเอาหุ้นไหนมาใส่ในพอร์ต us แต่ก็คัดๆเอาไว้แล้ว

- กองทุนเวียดนาม ผมได้เริ่มไปแล้วโดยซื้อในไทยคือ E1VFVN3001 และ VOF (ตัวนี้ผมซื้อในตลาด london ตัวนี้มีส่วนลดราวๆ 20% จาก NAV) และตอนนี้มีกำไรแล้วนิดหน่อย ผมแนะนำเลยครับสำหรับใครที่สนใจเวียดนาม (อีกกองในไทยก็คือ FUEVFVND01 แต่ตัวนี้ผมไม่ได้ซื้อ) โดยส่วนตัวผมชอบ VOF เพราะมีปันผล+ส่วนลด20% และหวังว่าจะลงทุนในระดับราวๆ 10 ปี เป็นการซื้อกองทุนครั้งแรกในชีวิต ปกติผมจะลงทุนด้วยตัวเอง ผมอยากลงในกองเวียดนาม 4-5% ของพอร์ต

- หุ้น prosus เป็นหุ้นที่ผมซื้อในยุโรปตัวนี้มีส่วนลดจาก NAV ราวๆ 50% มีปันผลไม่มากนัก และมูลค่าหลักของ prosus ก็คือหุ้น tencent ผมคิดว่าคงจะไม่ลงเงินมากสำหรับตัวนี้อาจจะ 1-2% ของพอร์ตเท่านั้น

- หุ้น fin-tech ถ้าพูดถึง fin-tech ส่วนใหญ่แล้วคงคิดว่าใครซื้อในปีนี้จะขาดทุนหนัก(มากกว่า 50%) สำหรับผมไม่ถึงกับหนักมาก ผมคาดว่าผมจะมีกำไรที่ดีในอีก 3 ปีข้างหน้า ผมซื้อหุ้น fin-tech จากตลาด us มา 3 ตัวทำธุรกิจในจีนและเอเซีย(และผมก็มีกำไรจากราคาหุ้นแล้วด้วย) ทั้ง 3 ตัวปันผลใช้่ได้เลยได้แก่ lufax qfin finv ส่วน fin-tech จีนผมยังขาดทุนอยู่คือ vcredit ตัวนี้ปันผล 10% ในปีนี้ ธุรกิจ fin-tech พวกนี้ก็จะเป็น B2C ซึ่งจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นมาหน่อย แต่ผมว่าราคาหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำน่าลงทุนมาก 

- หุ้น finance ผมเองชอบหุ้นการเงิน(แต่ก็ไม่ลงทุนในหุ้นธนาคาร) และผมก็ลงทุนในหุ้นเหล่านี้เป็นจำนวนมากในHK ผมยังมีกำไรและหุ้นเหล่านี้ที่ผมเลือกผมจะเลือกพวกที่เป็น B2B ทั้งหมด จากการดูงบการเงินพบว่ามีระดับ NPL ที่ต่ำมากแต่ก็มี Spread ของดอกเบี้ยที่แคบ ซึ่งเราสามารถดูเรื่องความสามารถในการทำกำไรของกิจการเหล่านี้ได้จาก ROA (เราจะไม่พิจารณา ROE ) ซึ่งหุ้น 3877 มี ROA ดีที่สุด ผมถือ 3877, 1066, 3360 และ 2666 ซึ่ง 2 ตัวหลังผมซื้อไม่มาก

- หุ้นสนามบิน 357 หรือ Haikou Meilan Airport เป็นหุ้นสนามบินที่ผมเข้าซื้อเพราะเห็นว่าจะมีการเติบโตในอนาคตจากการส่งเสริมของจีน และตัวนี้ไม่ขาดทุนเลยแม้จะอยู่ในยุค covid  

- ส่วนหุ้นด้านสิ่งแวดล้อม ผมเห็นว่าเป็นธุรกิจที่ดีมากผมยังถือมาต่อเนื่องเป็นปีที่ 2-3 บางตัวเงินปันผลเข้าใกล้ 10% ตามที่คาดหวังแล้ว ผมยังคงถือหุ้นกลุ่มนี้ต่อไปอีกหลายปี

- หุ้นกลุ่ม defensiveอื่นๆผมว่าน่าลงทุน เช่น ประกันภัย ประกันชีวิต การสื่อสาร ผู้กระจายสินค้าด้านยาและอุปกรณ์การแพทย์ โรงไฟฟ้า(พลังงานหมุนเวียน) gas operatorและservice provider  เป็นต้น มีความเสี่ยงต่ำและมีผลตอบแทนที่ดีเลยทีเดียว 

โดยหลักๆแล้วผมว่าเราลงทุนด้วยการรอจังหวะที่ดีๆ ดีกว่าการซื้อแบบทยอยหรือการซื้อเพราะกิจการโตไว(มากๆ) ผมเองไม่ซื้อแบบ DCA เพราะเป็นวิธีที่ทำผลตอบแทนได้ไม่ดีในระยะยาว และตอนนี้ก็คือต้องถือเงินสดต่อไปแล้วค่อย all-in กับสินทรัพย์ โดยผมอาจจะถือเงินสดที่เป็นสภาพคล่องไว้ใช้ 2 ปี จากที่ตอนี้ใช้ได้ระดับ 10 ปี โดยสภาพคล่องเหล่านี้จะถูกเปลี่ยนเป็นตราสารหนี้และพันธบัตร ผมยังมองว่า cash คือพระเอกที่จะทำให้พอร์ตผมโตได้อีกในอีก 3 ปีข้างหน้าหากผมคาดการณ์ได้ใกล้เคียงว่าในช่วงนับแต่ปลายปีนี้ถึงต้นปีหน้าคือช่วงที่เรามีโอกาสซื้อหุ้นในราคาที่ดี

ในช่วงที่ผ่านมาผมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ(เป็นพวก office syndrome) ทำให้ผมไม่ได้ทำการศึกษาการลงทุนแบบเข้มข้น และทำให้ผมไม่สามารถแนะนำอะไรใครได้และคิดว่าจะพักฟื้นตัวอีกจนถึงต้นปีหน้าเลยครับ แต่ก็จะพยายามหาความรู้ให้มากกว่านี้ ปีนี้จะเป็นปีสุดท้ายที่ผมจะทำงานในฐานะวิศวกร แต่ก็ยังนึกไม่ออกว่าจะไปทำอะไรต่อ

หวังว่าเพื่อนนักลงทุนที่ได้ลงทุนมาเพราะผมจะไม่ท้อเพราะสภาวะตลาดขาลง ผมเชื่อเสมอว่าตลาดหุ้นในภาวะวิกฤติคือโอกาสเสมอ โชคดีครับ

Saturday, January 29, 2022

กลยุทธ์การลงทุนในปี 2565 และเป็นตัวอย่างของคนที่อยากลงทุนได้นำไปคิด

เนื้อหานี้ไม่ได้ชักจูงให้ซื้อหรือขายหุ้น เพียงนำมาเป็นกรณีศึกษาเท่านั้น


สำหรับพอร์ตการลงทุนในประเทศไทย 

สถานการณ์ตลาด->ในปีที่ผ่านมาตลาดหุ้นมีผลตอบแทนสูงมาก 17.67% คิดรวมเงินปันผล แต่ผมเชื่อว่าปีนี้จะไม่ดี ผลตอบแทนในหุ้นขนาดเล็กสูงมาก >50% ทำให้กองทุนหุ้นขนาดเล็กมีผลตอบแทนที่ยอดเยี่ยม ผมแพ้ให้กับกองทุนพวกนี้





ถัาเราดูกองที่ดีที่สุดในปี2564 เมื่อเราดูผลตอบแทน 5 ปีย้อนหลัง 12.53%/ปี


Trailing Returns (THB)

28/01/2022

YTD

-4.83

3 Years Annualised

26.24

5 Years Annualised

12.53





ด้านล่างเป็นกองทุนที่มีผลตอบแทนเฉลี่ยเกิน 10% ต่อปีในช่วงระยะเวลา 10ปี มีจำนวน 13 กองทุนจากทั้งหมด 2,325 กองทุน และมีเพียง 3 ใน 13 กองทุนเท่านั้นที่ลงทุนในไทย จะเห็นว่าการลงทุนในไทยยากขึ้นทุกวัน







สถานะการณ์พอร์ตในไทย -> ในปี 2564 ถึงปัจจุบันผมได้ทยอยขายหุ้นในไทยออกมาอย่างต่อเนื่อง มองว่าราคาหุ้นในไทยยังอยู่ในระดับที่แพง มูลค่าพอร์ตในไทยอยู่ที่ 2.5-2.6 ล้านบาท(ของแฟนผม) และของผมเอง 6.5 หมื่นบาท ถือว่าอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบหลายปี



โดยหุ้นที่ถือครองได้แก่ ifs stanly qh เป็นหลัก และหวังผลตอบแทนในระดับ <10% ต่อปี

ในเดือนมกราคมผมได้ขายหุ้นออกไปต่อเนื่องจากปี2564และมีกำไรจากการขายหุ้น 2.4แสนบาทและได้รับเงินภาษีคืน 50,000 บาท(กว่า) ถือว่าต่ำสุดในรอบหลายปี เมื่อรวมทั้งปีแฟนผมก็จะมีกำไรเข้ากระเป๋าแล้ว 3 แสนบาทและจะได้รับเงินปันผลในช่วงเดือน พค.อีกหลักแสน รวมแล้วน่าจะมีเงินใช้ปีนี้4แสนหน่อยๆ ก็จะทำให้เขามีเงินพอใช้จ่ายในปี 2565 ทั้งปี และยังเหลือกำไรในหุ้นที่ยังไม่ขายอีก 3แสนบาท คงไม่ได้ขายออกไปครับหากไม่ได้ราคาดีจริงๆหรือไม่เห็นว่าจะมีหุ้นตัวไหนน่าสนใจมากกว่านี้กลยุทธ์ส่วนตัว -> ที่ผมทำได้ก็คือการรอ รอจังหวะให้หุ้นตกในจำนวนที่มากพอสมควรจะเข้าไปซื้อ แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังไม่ได้มองว่าการลงทุนในประเทศไทยจะเป็นการลงทุนหลักในปีนี้ ผมยังให้น้ำหนักการลงทุนที่ฮ่องกงมากที่สุด
คำแนะนำสำหรับนักลงทุนทั่วไป -> มองว่าการลงทุนจำเป็นจะต้องเข้าใจความสามารถของตัวเองเป็นสำคัญ และสิ่งที่จะทำให้การลงทุนดูง่ายขึ้นก็คือการรอให้เป็น ซื้อหุ้นในช่วงของตลาดหมี และอาจจะลดสัดส่วนในตลาดกระทิง และหากเวลาในการวิเคราะห์หุ้นมีจำกัดควรจะเลือกที่จะลงทุนในหุ้นที่อยู่ในภาวะการแข่งขันอิ่มตัวแล้วเช่น กลุ่มธุรกิจทางการเงิน อย่าโลกเข้าไปลงทุนในธุรกิจที่เติบโตเร็วแม้ว่าเราอาจจะตกรถก็ตาม เพราะเรายากที่จะคาดเดาได้ว่าบริษัทใดจะเป็นผู้ชนะและบริษัทใดพ่ายแพ้ออกการแข่งขันนี้ไป หรืออาจจะซื้อกองทุน etf ในจังหวะที่ตลาดหุ้นตกต่ำก็ได้
ผมไม่แนะนำให้ซื้อหุ้นทุกๆเดือนเฉลี่ยเท่าๆกันที่เรียกว่า DCA ผมมองว่าการซื้อในจังหวัดที่ตลาดหุ้นเป็นหมีดีที่สุดซึ่งอาจจะกะได้ยาก แต่ผมชื่อว่ามีโอกาสที่จะทำได้ใกล้เคียง เราไม่จำเป็นจะต้องซื้อหุ้นในราคาต่ำสุดซึ่งเรา(หรือใครๆก็ตาม)ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าราคาต่ำสุดจะไปอยู่ตรงไหน ขอให้สังเกตว่าช่วงที่คนหมดหวังกับตลาดหุ้นช่วงที่คน(รวมถึงตัวเราด้วย) กลัวในการลงทุนในตลาดหุ้นจะเป็นช่วงที่การลงทุนในตลาดหุ้นน่าสนใจ และผมแนะนำว่า 1-2 ปีซื้อหุ้น 1 ครั้งก็ยังมีผลตอบแทนได้ดี ไม่จำเป็นต้องซื้อบ่อย




การลงทุนในต่างประเทศ
-> ปีที่แล้วผมมีกำไรดีมาก และมีปันผลที่เพิ่มสูงขึ้น มูลค่าการลงทุนรวม ณ ปัจจุบันสูงที่สุดนับตั้งแต่ผมลงทุนมา และจะเพิ่มการลงทุนเข้าไปอีกในปีนี้
-> ช่วงเดือนแรก2022 พอร์ตลงไปติดลบเล็กน้อย และเป็นโอกาสเพิ่มการลงทุน
-> ขายหุ้นผลิตยาออกไป 2 ตัว มี 1 ตัวขาดทุน >50% แต่เป็นสัดส่วนที่น้อย(<1%ของพอร์ต) และอีกตัวกำไรเล็กน้อย
-> ผมให้น้ำหนักการลงทุน HK เยอะที่สุดมากกว่า 50% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด และมองว่าช่วงนี้คือโอกาสทองในการซื้อ มีหุ้นหลายตัวที่สามารถซื้อและถือไปอีกหลายปีได้และมีผลตอบแทนที่ดี
-> โอกาสดีขนาดที่ผมแนะนำทุกคนในครอบครัวลงทุนใน HK
-> เราอาจจะได้รับข่าวว่ารัฐบาลจีนออกกฎระเบียบกำกับดูแลกิจการบางประเภททำให้ผู้ประกอบการได้รับความเสียหาย ซึ่งตรงนี้เราสามารถที่จะหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านั้นได้
-> ผมขอยกตัวอย่างหุ้นที่ผมคิดว่าซื้อในราคานี้ปลอดภัย มีความสามารถในการทำกำไรสูงกว่าบริษัทที่คล้ายกันที่ผมศึกษา ปันผลสูง เติบโตปานกลาง ได้แก่บริษัท 3877 2666(ตัวนี้คุณโจ ลูกอีสานถือ )
กำไรของ 3877 เติบโตระดับ > 15% ส่วน 2666 > 10% ต่อปี ปันผล 6%-7% , P/E ต่ำกว่า 5
-> 3877 โต >20% มาหลายปี และปี 2022-23 ยังโตต่อได้ด้วยเงิน ipo และ D/E ปานกลาง
-> เริ่มให้น้ำหนักการงทุนในหุ้นการเงินมากขึ้น และมีหุ้น fintech 3 ตัว 2003 qfin vfin 2 ตัวหลังจดทะเบียนใน us
-> alibaba ราคาถูกมากแล้วครับเป็นจังหวะ ผมก็รอตัดสินใจซื้อ
-> เพิ่มหุ้นอสังหาใน HK
->ใน us ยังไม่สนใจหุ้น tech ที่มีอายุน้อยกว่า 5 ปี และสนใจ roblox แต่จะลงในระดับ 1% ของพอร์ต




หุ้น 3877

ราคาหุ้น $1.15

EPS 0$.22 P/E 5.3 ปันผล 7-8%/ปี (ปันผลปีละ2ครั้ง และไม่เสียภาษี ณ ที่จ่าย 10%) D/E 2.55 เท่า ROA 3.8%

ทำธรุกิจ leasing เรือขนส่งสินค้า

กำไรในปี 2021 ประมาณ 1,330milion โดยส่วนตัวเดาว่าปี2022กำไรจะเติบโตอีก 14%และในปี 2023-24 น่าจะเติบโตต่อเนื่องจากมีเรือที่จะส่งมอบลูกค้าจำนวนมาก แต่ธรุกิจสินเชื่อจะเติบโตเร็วไปตลอดไม่ได้ พอ D/E สูงมากก็ขยายงานลำบากแล้วครับ และการปันผลสูงก็เป็นอุปสรรค์ในการขยายกิจการ






ในส่วนของ 2666 นั้น D/E 3 ปันผล 7% จ่ายปีละครั้งและหัก ณ ที่จ่าย 10% ตามกฎหมายของ china ข้อมูลอื่นๆของบริษัทดูได้จาก http://www.etnet.com.hk/www/eng/stocks/realtime/quote_ci_ratio.php?code=2666




ผมไม่ได้ทำรายละเอียดหุ้นทั้ง 2 ตัว คงต้องไปศึกษาต่อเองครับว่าน่าสนใจและควรที่จะซื้อหรือไม่