Thursday, November 16, 2017

กองทุนดัชนี

เหตุผลที่ต้องเลือกลงทุนในกองทุนดัชนี

- ก่อนอื่นควรตรวจสอบว่าเรามีความรู้เรื่องการลงทุนมากน้อยแค่ไหน หรือเทียบง่ายๆว่าสามารถลงทุนในหุ้นด้วยตนเองแล้วได้ผลตอบแทนที่ดีในระยะเวลา 3 ปีหรือไม่ หากไม่คุณควรเข้าใจว่ากองทุนก็เป็นทางเลือกอย่างหนึ่ง
- กองทุนนั้นมีหลายประเภท การเลือกลงทุนของผจก.กองทุนก็มีผลตอบแทนที่ดีและแย่ได้ ไม่มีอะไรรับประกันว่ากองทุนจะได้ผลตอบแทนที่ดี
- กองทุนเชิงรุกจะมีผลตอบแทนทั้งดีกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี และต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของดัชนี นอกจากนี้มักมีค่าธรรมเนียมในการบริหารสูงกว่ากองทุนเชิงรับ(passive) แต่โดยส่วนมากแล้วในระยะยาวกองทุนเชิงรุกจะมีผลตอบแทนที่ต่ำกว่าดัชนี และต่ำกว่ากองทุนดัชนีที่เก็บค่าธรรมเนียมต่ำ
- กองทุนเชิงรุกอาจจะมีผลตอบแทนที่ดีในระยะสั้น แต่ในระยะยาวอาจจะเสียหายได้ นอกจากนี้แล้วในระยะ 10 ปีขึ้นไป ค่าธรรมเนียมในระดับ 2% ต่อปีขึ้นไปจะทำให้กองทุนเชิงรุกเสียหายหนักได้
- การที่กองทุนเชิงรุกบางกองยังมีผลตอบแทนที่ดีได้ นั้นเป็นเพราะผู้บริหารบางคนมีความสามารถสูงและยังอยู่ดูแลกองทุนนั้น หากเขาคนนั้นลาออกไปผลตอบแทนก็จะเปลี่ยนไป และเหตุการณ์เหล่านี้ได้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆในอเมริกาเนื่องจากการซื้อตัวของบริษัทจัดการกองทุนอื่น และหลายๆกรณีที่กองทุนคนเดิมก็ไม่สามารถรักษาผลกำไรที่ดีเอาไว้ในระยะยาวได้

ทำไมควรลงทุนในกองทุนดัชนีนำตลาด

เช่น S&P500, SET50
- ให้ผลตอบแทนตามมูลค่าเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ
- หุ้นที่ไม่เข้าเกณฑ์จะถูกถอดถอนออกจาก SET50 แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นดีๆจะอยู่ใน SET50
- ไม่ต้องพิ่งพาความสามารถของผจก.กองทุน เอาคนโง่ๆมาบริหารก็ยังได้ผลตอบแทนตามดัชนี ซึ่งควรเพิ่มขึ้นไปตามกาลเวลา ตามขนาดเศรษฐกิจของประเทศ
- ค่าธรรมเนียมในการจัดการต่ำเมื่อเทียบกับกองทุนแบบเชิงรุก(active) ทำให้ในระยะยาว กองทุนเชิงรับจะได้ผลตอบแทนที่ดีได้เช่นกัน

ควรเลือกกองทุนดัชนีอะไรบ้าง

1.หากเลือกกองทุนในประเทศจะได้เปรียบเรื่องค่าธรรมเนียมในการซื้อขายและการบริหาร และหากจะให้ดีควรลงทุนในกอง LTF ทำให้เราสามารถนำค่าซื้อกองทุนนี้ไปหักรายได้เพื่อลดหย่อนภาษีอีกทาง

2.ถ้าจะลงทุนตปท.ควรมองไปที่ประเทศที่ได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น USA CHINA และอยู่ในช่วงการเติบโต แต่จะมีความเสี่ยงอื่นๆเช่น อัตราแลกเปลี่ยน ค่าดำเนินการที่สูง(2 ต่อ ค่าจ่ายให้กับผู้ดำเนิการในไทยและผบห.กองทุนในตปท.)

3.ควรจัดสรรสัดส่วนการลุงทุนตามความรู้ความสามารถ ติดตามว่าประเทศใดจะมีการเติบโตในช่วงใดที่ดีหรือมีอนาคตมากกว่ากัน ซึ่งอันนี้ขึ้นอยู่กับความพอใจของแต่ละคน

จังหวะในการลงทุน

- หลายคนชอบลงทุนแบบ DCA ทยอยลงทุกๆเดือนตามที่เงินเดือนออกเพื่อวินัยในการลงทุน แต่โดยส่วนตัวเห็นว่าควรซื้อในจังหวะใดที่ตลาดตกต่ำแล้วใช้เงินเยอะๆจะดีกว่า โดยการเก็บเงินไว้ในธนาคารก่อนเมื่อมีจังหวะก็ซื้อคราวละมากๆ
- การเข้าผิดจังหวะก็อาจจะทำให้เสียหายได้ อย่าคิดว่ากองทุนเสียหายหนักๆไม่ได้ บางทีการซื้อกองทุนในสภาวะกระทิง(คือช่วงที่ดัชนีขึ้นสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายเดือนหรือ 2-3 ปี) จะทำให้ผลตอบแทนในระยะยาวต่ำลงอย่างมาก
- ในขณะที่ตลาดหุ้นเป็นกระทิง ดัชนีขึ้นติตต่อกันมานาน จงระลึกเสมอว่าหากการเพิ่มขึ้นของดัชนีที่ไม่สอดคล้องกับการเพิ่มขึ้นของผลการดำเนินงานที่เป็นกำไร แม้การเพิ่มขึ้นนี้จะเป็นความสบายใจของนักลงทุนที่เห็นพอร์ตสีเขียว แต่สำหรับผู้ที่เข้ามาใหม่อาจจะต้องพบกับความเสียหายได้และไม่นานดัชนีก็จะกลับไปสู่จุดที่เหมาะสมกับผลประกอบการของมัน
- ในขณะที่ตลาดเป็นหมีซบเซามานาน หรือการลดลงของดัชนี 20% ขึ้นไป อาจจะทำให้นักลงทุนไม่กล้าเพราะเข็ดกับการติดดอยก่อนหน้านี้ แต่นี่จะเป็นจังหวะของการเข้าซื้อหุ้น และการซบเซานั้นเกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ และสถิตินี้จะอยู่ต่อไปอีกนาน

ความเข้าใจผิดการลงทุนระยะยาวจะให้ผลตอบแทนที่ดีเสมอ

- หลายคนมีความเข้าใจเช่นนั้น ซื้อแล้วถือยาวแล้วในระยะยาวถ้าหุ้นดีมันก็จะกลับมาและให้ผลตอบแทนที่ดี ฟังดูก็มีเหตุผล แต่การเลือกลงทุนในจังหวะที่ตลาดเป็นกระทิงมากๆอาจจะทำให้ผลตอบแทนคุณดูแย่ลงไปทีเดียว
- มีหลายคนต่างนำสถิติ SET ในปี2536-2537 เป็นช่วงที่ดัชนีขึ้นสูง(ดอย)แล้วบอกว่าซื้อตอนนั้นมาถึงตรงนี้ไม่ขาดทุนแล้ว! ไม่จริงเลย ไม่ว่าSETหรือSET50 ต่างก็บรรจุหุ้นที่ยังอยู่รอด มีหุ้นอีกหลายตัวล้มหายตายจากไป แล้วมันก็ไม่ได้นำไปรวมเป็นค่าดัชนี มันเป็นปัญหาที่เรียกว่า survivorship bias ดังนั้นจงอย่าประมาทในการเลือกลงทุน
- ดังนั้นการเลือกลงทุนในกองทุนที่มิใช่กองทุนดัชนี อาจจะทำคุณเสียหายได้ในระยะยาว มีมากมายหลายกองทุนที่ต้องเสียหาย แต่จะว่าไปแล้วผู้ที่เสียหายจริงๆก็คือผู้ถือหน่วยไม่ใช่ตัวผู้บริหารกองทุนที่ได้รับผลตอบแทนดีอยู่แล้ว

ข้อสรุปสำหรับนักลงทุนเชิงรับในประเทศ

- ผมแนะนำให้ลงทุนในกองทุน LTF ที่เป็นกองทุนดัชนี SET50 และควรจะลงทุนอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป นอกจากผลประโยชน์ด้านภาษีแล้วยังทำให้นักลงทุนได้รับผลตอบแทนปกติที่ได้จากการลงทุน SET50
- ควรมองหากองทุนที่มีค่าจัดการต่ำๆ
- หาจังหวะซื้อที่เหมาะสมเพื่อให้ผลตอบแทนออกมาดี ไม่ควรซื้อในภาวะตลาดกระทิง ควรซื้อในช่วงตลาดหมี แต่อย่างไรก็ดีจัวหวะเหล่านี้ก็ไม่อาจจะกะกันได้ง่ายๆ ต้องใช้ประสบการณ์และความเข้าใจเรื่องของมูลค่าแพงไม่แพงของดัชนีมาเป็นตัวตัดสิน โดยให้พิจารณาถึง P/BV, เงินปันผล และอัตราดอกเบี้ย เป็นเกณฑ์สำคัญ และปริมาณการซื้อขายก็เป็นตัวชี้วัดอีกตัวที่พอจะบอกสภาวะตลาดได้คือหากปริมาณการซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยมา 10 วันทำการก็เป็นสัญญาซื้อของนักลงทุน โดยอาจจะแบ่งเงินทะยอยซื้อก็ได้

แหล่งข้อมูลกองทุน
1. wealthmagik
2. Morningstarthailand


No comments:

Post a Comment