Sunday, December 1, 2019

Q3/2562 หุ้น STANLY



กราฟด้านบนแสดงผลประกอบการ ประกอบด้วยรายได้ กำไร และอัตรากำไรสุทธิ
โดยกราฟแรก แสดงเป็นรายปี จะเห็นว่าบริษัทมีรายได้และกำไรต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา และในไตรมาสล่าสุดแม้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์จะลดกำลังการผลิต บริษัทก็ยังทำรายได้และกำไรเป็นจุดสูงสุดใหม่
บริษัททำธุรกิจผลิตหลอดไฟ และโครมไฟของรถจักรยานยนต์และรถยนต์ สามารถดูข้อมูลได้ที่ http://www.thaistanley.com/wp-content/uploads/2019/08/1_Stanley-56-1_All_TH.pdf

จุดที่ควรพิจารณาสำหรับบริษัทนี้คือ

- มีการจ่ายปันผลสม่ำเสมอ และในปีที่ผานมาบริษัทจ่ายปันผลในอัตรา 8.25 บาท/หุ้นสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา โดยการจ่ายปันผลจะอิงกับผลประกอบการ และจะจ่ายในอัตรา 32% ของกำไรสุทธิ ดูข้อมูลได้จาก https://www.jitta.com/stock/bkk:stanly/factsheet
- บริษัทมี market cap. 13,792 ล้านบาท ที่ราคาหุ้น 180 บาท และมีเงินสดและเทียบเท่าเงินสดที่ไม่จำเป็นในการดำเนินกิจการ 3,536 ล้านบาทหรือคิดเป็น 46.14 บาทต่อหุ้น โดยในไตรมาสก่อนบริษัมีเงินสดมากกว่านี้แต่ได้นำไปลงทุนขยายกิจการในโรงงานแห่งที่ 8 ทำให้ปีหน้าจะมีรายได้จากโรงงานแห่งใหม่เข้ามา
- ในช่วงนี้คำสั่งซื้อลดลงตามยอดขายรถยนต์ แต่บริษัทก็ยังได้รับคำสั่งซื้อใหม่ๆเข้ามาชดเชย


ที่มา https://www.set.or.th/set/companyhighlight.do?symbol=STANLY&ssoPageId=5&language=th&country=TH

- บริษัทมี ROE อยู่ที่ 20% เมื่อปรับแก้ด้วยการตัดเงินสดอิสระออกไป
- บริษัทซื้อขายกันที่ 0.85 เท่าของมูลค่าทางบัญชี ต่ำสุดตอลดกาล
- ระดับเงินปันผล 4.58% ถือว่าเป็นอัตราที่ดีมาก
- ในปีนี้บริษัทได้สำรองผลประโยชน์พนักงาน(ตามกฎหมายใหม่)ราวๆ 80 ล้านบาทในไตรมาสก่อน
- รถยนต์ไฟฟ้า EV จะมีผลกระทบต่อบริษัทก็ต่อเมื่อ บริษัทต่างๆย้ายฐานการผลิตไปต่างประเทศ หากบริษัทรถยนต์ยังคงผลิตในประเทศไทย บริษัทก็ยังคงได้รับคำสั่งซื้อเช่นเดิม ปัญหานี้ควรอยู่ที่รัฐจะต้องดำเนิการแก้ไขและปกป้องอุตสาหรรมรถยนต์ในประเทศไว้ให้ได้ เพราะหากให้นำเข้าจากจีนด้วยอัตรารภาษี 0% คาดว่าปัญหาคงมีแน่นอน เพราะตอนนี้ไทยยังไม่ได้สร้าง eco system ในด้าน EV เลย ในขณะที่จีนไปไกลมาก
- บริษัทมีรอบงบการเงินในเดือน มีนาคม (บริษัทส่วนใหญ่จะปิดงบการเงินที่เดือนธันวาคม )
ส่วนตัวผมได้ซื้อหุ้นตัวนี้เพิ่ม และเชื่อว่าด้วยฐานะการเงินที่ดีของบริษัทก็จะทำให้บริษัทสามารถสร้างผลกำไรในระยะยาวให้แก่ผู้ถือหุ้นได้

Wednesday, November 27, 2019

ธรุกิจโรงเรียน SISB ในไทย VS Mable leaf ในจีน


SISB บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) vs (1317)China Maple Leaf Educational Systems Limited



ในตารางได้แสดงให้เห็นถึงความแพงของ SISB หุ้นที่อยู่ในตลาดหุ้นของไทย ทั้งๆที่เราไม่ควรจะซื้อหุ้นโรงเรียนในราคาระดับ 5.12 เท่าของมูลค่าทางบัญชีเลย หรือ P/E สูงถึง 48 เท่าโดยไม่ได้มีการเติบโตที่ต่อเนื่องในระดับสูง(มากกว่า 30%)ไปอีกหลายปี
ในขณะที่หุ้นอย่าง Maple leaf นั้นมีราคาสมเหตุผลมาก ลองดูข้อมูลเบื้องต้นตาม link นี้ https://www.mapleleafschools.com/corporate/overview/investor-introduction/
จะเห็นได้ว่าบริษัทนี้น่าสนใจมากที่จะเข้าซื้อลงทุน
ผมเป็นคนชอบธุรกิจการศึกษาอยู่แล้วครับ แต่ก็ยังไม่ได้ตัดสนใจในการลงทุนในหุ้นตัวนี้ คิดว่าถ้าหุ้นอยู่ซัก $2.20 HK ก็จะซื้อเอาไว้หน่อย
ข้อมูลวันนี้ที่ผมบันทึกเพื่อแสดงให้เห็นว่าหุ้นไทยนั้้นแพงเกินกว่าที่จะลงทุนและได้ผลตอบแทนที่ดีได้ และเราก็มีทางเลือกในการลงทุนในต่างประเทศได้ นี่คือหนึ่งในเหตุผลที่ผมไม่เน้นการลงทุนในประเทศอีกต่อไป

Saturday, November 9, 2019

การเปิดพอร์ตในต่างประเทศ


ตั้งแต่ผมได้ลง FB ก็ได้มีเพื่อนที่โทรคุยเพื่อขอคำแนะนำการเปิดพอร์ตต่างประเทศ ผมก็ได้แนะนำเขาไปทั้งการเปิดพอร์ตและชื่อหุ้นเป้าหมาย คนแรกก็เปิดไปแล้วที่หลักทรัพย์บัวหลวงและก็ได้ซื้อหุ้นไปเป็นที่เรียบร้อย 3 ตัว ก็เหมือนผมทั้ง 3 ตัว และอีกคนได้โทรมาคุยกับผมวันนี้ ผมได้พูดถึงอนาคตการลงทุนในประเทศให้เขาฟัง และแนวทางที่ผมจะทำในอนาคต
ผมเห็นว่าอาจจะเป็นประโยชน์สำหรับใครที่จะเปิดพอร์ตการลงทุนในต่างประเทศ ผมมีข้อมูลดังนี้
ผมมีพอร์ตลงทุนในต่างประเทศ 2 พอร์ต แต่จะแนะนำโบรกเกอร์ DBS Vicker เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนเงินไปเป็นสกุลเงินต่างประเทศได้ Rate ดีกว่าที่ SCBS แต่ไม่รู้ว่าที่ไหนดีที่สุด
ให้ไปที่ https://www.dbsvitrade.com/brokerpage/004/web/Overseas.html
ให้อ่านข้อมูลที่จำเป็นในการลงทุนต่างประเทศ และ ค่าธรรมเนียม รวมถึงภาษี
ผมจะสรุปข้อมูลที่สำคัญของโบรก DBS ดังนี้
- ซื้อขายหุ้นได้ 7 ประเทศ(น้อยกว่าโบรกอื่นๆ) Singapore, Hong Kong, USA, Canada, UK, Australia และ Japan
- ตลาด Hong kong, UK ไม่เสียภาษี ณ ที่จ่ายสำหรับเงินปันผล กำไรจากการขายหุ้นไม่ต้องเสียภาษี
- เมื่อสมัตรแล้วต้องโอนเงินอย่างน้อย 2 แสนบาทเข้าพอร์ตเพื่อที่จะได้ password
- ระบบการซื้อขายยาก และไม่สะดวกเมื่อเทียบกับการซื้อขายหุ้นในไทย และถ้าจะดู streaming ต้องเสียเงินรายเดือน
- ค่าธรรมเนียมในการซื้อขายหุ้นขั้นต่ำในตลาดฮองกงอยู่ราวๆ 600 บาทต่อคำสั่งซื้อ (ไม่ใช่ต่อวันนะ)  สามารถรวมคำสั่งซื้อหุ้นตัวเดียวกันได้ ถ้าจะให้คุ้มค่ากับค่าธรรมเนียมในการซื้อขายนี้ควรซื้อตัวเดียวกันภายใน 1 วันอย่างน้อย 150,000 บาท แต่ถ้าซื้อแล้วขายภายใน 1 วัน ค่าธรรมเนียมขายก็อย่างน้อย 600 บาท/หุ้น

ต่อมาให้คลิกไปที่ "เปิดบัญชี" และกรอกข้อมูลการสมัคร (หากสงสัย และไม่แน่ใจให้โทร) เมื่อกรอกเสร็จก็โทรไปแจ้งที่บริษัท แต่ทางที่ดีควรโทรไปปรึกษาเจ้าหน้าที่ที่เบอร์ 02-857-7799 ใช้เวลา 10 วันก็เปิดได้
แต่ถ้าใช้บริการ SCBS ใช้เวลาไม่เกิน 1 ชม.

การลงทุนนั้นเป็นช่องทางในการรักษาเงินและแหล่งกระแสเงินสดสำหรับใช้ในอนาคต แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องทำกันได้ง่ายๆ มันมีความเสี่ยง เราก็ต้องมีความรู้ดีในการลงทุน ขยันในการอ่านงบการเงิน เรียนรู้เรื่องการเงินการบริหารในระดับที่ดี ภาษาอังกฤษก็ต้องได้ไม่งั้นก็อ่านรายงานไม่ได้ อย่าคิดอะไรง่ายๆนะครับ เล่นจริงเจ็บจริงได้จริง อายุเยอะแล้วเวลาในการแก้ตัวก็มีน้อยลง
สำหรับผมเลือกที่จะ ALL In ในหุ้นครับ



Wednesday, October 16, 2019

CHINA MEDICAL SYSTEM HOLDINGS LTD. (867)

หุ้นตัวที่ 3 ที่ผมซื้อในตลาดหุ้นฮองกง ชื่อย่อคือ CMS

ผมซื้อมาในวันที่ 12 กย 2562 ผ่านไป 1 เดือน 5 วัน หุ้นตัวนี้บวกมาแล้ว 13.5%
บริษัททำธุรกิจ R&D, ผลิตและจำหน่ายยา(กระจายสินค้า) โดยมีรายชื่อยาหลักๆดังนี้

Hirudoid เป็นยาที่ผมคุ้นเคย บริษัทไม่ใช่เป็นเจ้าของ license แต่เป็น sub-license
รายได้ที่ผ่านๆมาเติบโตได้ดีโดยเฉพาะช่วงก่อนปี 2017 บริษัทเติบโตประมาณ 30% ต่อปีติดต่อกันหลายปีมาก
ในขณะที่ผลงาน 6เดือนปี2019 ก็ยังเติบโตได้ดี
งบกำไรขาดทุน 1H2019 (ผมได้ตัดบางส่วนที่ไม่จำเป็นออกไป)


แนวความคิดในการเลือกซื้อหุ้นตัวนี้คือ
1.การเติบโตในอดีต
2.ฐานะการเงินที่ดี
3.การจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นทุกๆปี ซึ่งเป็นไปตามผลกำไรที่เพิ่มขึ้นของบริษัท
4.โดยหลักการลงทุนหุ้นใดที่ดีในอดีตและเป็นธุรกิจที่เข้าแข่งขันยาก ก็ถือว่าน่าสนใจและหากราคาไม่แพงก็สามารถซื้อลงทุนได้ แม้ว่าในอนาคตอาจจะไม่แน่นอน
5.การเติบโตราวๆ 30 % หากว่ากันโดยทั่วไปควรซื้อขายกันที่ P/E ราวๆ 25-30 เท่า แต่ผมซื้อได้ที่ P/E 8-9 เท่า ถือว่าเป็นการซื้อหุ้นในราคาที่ถูกมาก แต่ผมคาดไว้ว่าบริษัทจะมีการเติบโตลดลงเหลือปีละ 15% ซึ่งก็ยังถือว่าราคาที่ซื้อยังไม่แพง
6.การซื้อธรุกิจที่ไม่มีขายในไทย ในประเทศไทยไม่มีหุ้นที่วิจัย พัฒนาและขายยาโดยตรง ส่วนใหญ่เราจะผลิตได้เฉพาะยาธรรมดาสามัญ จึงถือเป็นการกระจายการลงทุน

ปัจจัยเสี่ยง
1.โดยส่วนตัวผมไม่สามารถเข้าถึงยาแต่ละตัวของบริษัทได้ว่ามีคุณภาพแค่ไหน และมีความสามารถในการแข่งขันได้ดีแค่ไหน ทำได้เพียงอ่านรายได้ประจำปี
2.นโยบายการควบคุมราคายาของจีน แต่จะเน้นไปที่ยาสามัญทั่วไป โดยสั่งซื้อยาจากส่วนกลาง(centralized drug purchse)ทำให้เกิดอำนาจต่อรองสูงขึ้น
3.อัตราแลกเปลี่ยนที่เงินหยวนของจีนมีแนวโน้มอ่อนค่าลงอย่างต่อเนื่องเมื่อแปลงเป็นเงินไทยแล้ว ทำให้กำไรที่ได้รับ และสินทรัพย์ต่างๆของบริษัทลดลงเมื่อเทียบกับเงินที่เราได้ลงทุนไป
4.ความรู้ใน sector นี้ผมมีน้อยมาก เพราะไม่คุ้นเคยธุรกิจเนื่องจากในไทยไม่มีหุ้นพวกนี้ขาย ทำให้มีความเสี่ยงที่จะเข้าถึงข้อมูลได้ต่ำ

PRICE HK$ 10.08
P/E 10.70 โดยประมาณ
Earning per Share RMB 0.83
Book Value per Share 3.37
Dividend per Share 0.38
MKT CAP HK$25.10B โดยประมาณ

Link to CMS